วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พันธุ์สุนัข

บีเกิ้ล สุนัขที่เหมาะกับเด็ก
"บีเกิ้ล” เป็นสุนัขที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษ คาดว่าสุนัขสายพันธุ์นี้ถือกำเนิดมานานไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี และมีชื่อเสียงมากในยุคของพระนางอลิซาเบธ จัดอยู่ในจำพวกกลุ่มสุนัขล่าเนื้อ มีขนสั้นและหูปรก

   
             เป็นสุนัขที่มีประสาทด้านการดมกลิ่นเป็นเลิศ ต่อมาได้มีการ พัฒนาสายพันธุ์เพื่อเป็นผู้ช่วยมนุษย์ในการกีฬาต่าง ๆ โดยเฉพาะการล่ากระต่ายและยังได้รับการฝึกให้เป็นสุนัขตรวจสอบยาเสพติดและวัตถุระเบิด ปัจจุบันบีเกิ้ล ยังได้รับความนิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงด้วยขนาด ตัวที่พอเหมาะ, เป็นสุนัขที่มีอารมณ์ดี  และสุขภาพแข็งแรงมีความทนทานต่อโรค
   
             ผู้มีประสบการณ์ในการเลี้ยงบีเกิ้ลมานานบอกว่าสุนัขสายพันธุ์นี้เหมาะกับ เด็ก ๆ จึงเป็นสุนัขที่นิยมเลี้ยงกันในครอบครัว โดยมาตรฐานของสายพันธุ์แล้ว จะมีนิสัยใจกล้า จงรักภักดี กระฉับกระเฉง กล้าตัดสินใจ ตื่นตัว ขี้สงสัย สุภาพอ่อนโยน รักความสะอาด เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย เมื่อเจริญเติบโตเต็ม  ที่จะมีส่วนสูงเฉลี่ย 33-40 เซนติเมตร มีน้ำหนักตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 8-14 กิโลกรัม ในการให้อาหารที่ถูกต้อง คือ อายุระหว่าง 2-3 เดือน ควรให้อาหารเม็ดวันละ 4 มื้อ มื้อละ 1 ถ้วย (ให้ทุก ๆ 4-6 ชั่วโมง)  โดยใช้ถ้วยกาแฟขนาดเล็กตวงผสมกับอาหารกระป๋อง 1 ช้อนโต๊ะ คลุกเคล้าให้ทั่ว




 เมื่อบีเกิ้ลมีอายุระหว่าง 3-4 เดือน ลดเวลาการให้อาหารเหลือวันละ 3 มื้อ มื้อละ 1 ถ้วย ให้ทุก ๆ 6-8 ชั่วโมง และเมื่อมีอายุ 4 เดือน-1 ปี ให้อาหารเม็ดวันละ 2 มื้อ มื้อละ 1 ถ้วย และเมื่อสุนัขมีอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป สามารถลดการให้อาหารเหลือเพียงวันละ 1 มื้อก็เพียงพอแล้ว อาหารจำพวกนมจะให้ช่วงที่เป็นลูกสุนัขแรกเกิดจนถึง 2 เดือน ที่สำคัญในการเลี้ยงบีเกิ้ลนั้นผู้เลี้ยงไม่ควรให้อาหารสด (อาหารคน) เนื่องจากจะทำให้สุนัขติดใจในรสชาติและจะไม่กินอาหารเม็ดอีกต่อไป มีข้อห้ามในเรื่องของอาหารโดยเฉพาะช็อกโกแลตและหัวหอมห้ามให้อย่างเด็ดขาดเพราะอาจจะทำให้สุนัขได้รับอันตรายถึงตายได้
   
             ในการดูแลความสะอาดให้กับบีเกิ้ลซึ่งมีขนสั้น เพียงแค่อาบน้ำให้สัปดาห์ละครั้งก็เพียงพอ จากนั้นก็เช็ดหรือเป่าตัวให้แห้งพร้อมกับแปรงขนไปด้วยหรือถ้าไม่สกปรกมากจะใช้เพียงผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดตัว เนื่องจากบีเกิ้ลมีขนสั้นและมีสีเข้ม ควรแปรงขนทุก ๆ 3-4 วัน เพื่อกำจัดเส้นขนที่ตายแล้วออกไป โดยปกติแล้วบีเกิ้ลไม่ค่อยมีกลิ่นสาบและมีการผลัดขนน้อยมาก อีกทั้งไม่มีน้ำลายไหลเยิ้ม  อย่าลืมว่าบีเกิ้ลจัดเป็นสุนัขอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ชอบการออกกำลังกาย ควรจะพาไปออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น
   
             ลักษณะโดดเด่นประจำพันธุ์บีเกิ้ลก็คือมีพลังในการเห่าหอนอาจจะทำให้ขโมยแสบแก้วหูได้และยังจัดเป็นสุนัขที่ไม่ค่อยกลัว ตัวประหลาด เช่น ตุ๊กตาหน้าตาแปลก ๆ
.

เกรท เดน สุนัขพันธุ์ยักษ์
"เกรท เดน” เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่มีความสูงไม่ต่ำกว่า 1 เมตร จัดเป็นสุนัขที่มีโครงสร้างสูงใหญ่ มีความ สง่างามในทุกมุมมอง มีกล้ามเนื้อที่สวยงาม ดูแข็งแรง กำยำและเป็นมิตรกับคนที่เป็นมิตร



             "เกรท เดน” เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่มีความสูงไม่ต่ำกว่า 1 เมตร จัดเป็นสุนัขที่มีโครงสร้างสูงใหญ่ มีความ  สง่างามในทุกมุมมอง มีกล้ามเนื้อที่สวยงาม ดูแข็งแรง กำยำและเป็นมิตรกับคนที่เป็นมิตร แววตามีเสน่ห์ อีกทั้งยังเป็นสุนัขที่มีความคล่องตัวสูงเคลื่อนที่เร็ว สามารถเลี้ยงเป็นเพื่อนหรือเป็นยามเฝ้าบ้านได้
    
   เนื่องจาก เกรท เดน เป็นสุนัขขนาดใหญ่ควรจะมีพื้นที่สำหรับออกกำลังกาย แต่ถ้าผู้เลี้ยงมีพื้นที่ไม่มากควรจะมีเวลาพาเดินออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญอาหารที่จะให้กับเกรท เดน ควรให้ความสำคัญ เนื่องจากถ้าเกรท เดน กินอาหารไม่ถึงรับรองว่าเมื่อโตขึ้นมาจะไม่สวยแน่นอน การให้อาหารในระยะที่เป็นลูกสุนัขจะให้อาหารน้อยแต่ให้บ่อยเมื่อถึงช่วงอายุที่ทำวัคซีนครบจึง จะเริ่มให้เนื้อดิบ เพราะเนื้อดิบจะช่วยในเรื่องโครงสร้างได้ดีมาก กล้ามเนื้อขึ้นสวย ลูกสุนัขเกรท เดน ที่ได้อาหารดีอายุ 5 เดือน จะสูงได้ถึง 27-28 นิ้ว จะมีการถ่ายพยาธิให้เฉลี่ยเดือนละ 2-3 ครั้ง นอกจากอาหารหลักแล้ว  ควรจะเพิ่มแคลเซียม ด้วยการชงนมผงรสจืดสำหรับเด็กให้สุนัขกินหลังอาหารเป็นประจำเพื่อช่วยบำรุงกระดูกและผสมกล้วยน้ำว้าสุกกับอาหารมื้อเย็นกับสุนัขทุกวัยเพื่อบำรุงผิวพรรณและยังช่วยให้สุนัขเจริญอาหาร เทคนิคในการเลี้ยงเกรท เดน ที่ถูกต้อง จะต้องให้อาหารที่สามารถปรับระดับตามความสูงของสุนัขได้
    
            อย่างกรณีที่ให้สุนัขก้มกินอาหารกับพื้นทุกวันจะทำให้เส้นหลังโค้งงอ ขาแบะออกเพราะต้องคอยรับน้ำหนักตัว แต่ถ้าวางอาหารในระดับที่สุนัขจะต้องใช้ปลายเท้าจิกเพื่อกินอาหาร จะช่วยให้สุนัขฝึกการยืนให้สง่างามโดยอัตโนมัติ.

เฟรนช์ บลูด๊อก หูค้างคาว
 "มองทันที เนื่เฟรนช์ บูลด๊อกจัดเป็นสุนัขอีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีเสน่ห์อยู่ ในตัว ใครได้เห็นครั้งแรกจะต้องสะดุดและหยุดองจากเป็นสุนัขที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ยากจะหาสุนัขพันธุ์ใดในโลกเสมอเหมือนคือ มีใบหูเหมือนหูค้างคาว
  "เฟรนช์ บูลด๊อก” จัดเป็นสุนัขอีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีเสน่ห์อยู่ ในตัว ใครได้เห็นครั้งแรกจะต้องสะดุดและหยุดมองทันที เนื่องจากเป็นสุนัขที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ยากจะหาสุนัขพันธุ์ใดในโลกเสมอเหมือนคือ มีใบหูเหมือนหูค้างคาว, มีสีที่ลำตัวมากถึง 16 สี และมีเสียงหายใจที่เป็นเอกลักษณ์
   
           สรุปลักษณะโดยรวมของสุนัขสายพันธุ์นี้คือ หน้าย่นหักสั้น จมูกบี้ รูปหน้าเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส หัวกลม ปากกว้าง รูปร่างเตี้ยล่ำ อกกว้าง ลำตัวและหางสั้น สำหรับลักษณะนิสัยเป็นสุนัขที่รักและติดเจ้าของ จะเห่าเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เมื่อเลี้ยงอยู่ในบ้านจะเป็นมิตรกับทุกคน ที่สำคัญจัดเป็นสุนัขขนสั้นทำให้ดูแลความสะอาดง่าย
   
           คุณศุภฤกษ์ สนองชาติ ชาวบุรีรัมย์ เริ่มเลี้ยงสุนัขเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2532 ขณะยังเป็นนักศึกษาอยู่ เริ่มแรกจะเลี้ยงสุนัขพันธุ์บ็อกเซอร์และร็อตไวเลอร์ ต่อมาในปี พ.ศ.2543 ได้นำเข้า “เฟรนช์ บูล  ด๊อก” เพศเมีย สีครีม จากประเทศสาธารณ รัฐเช็กและได้นำเข้าเพศผู้สีครีมจากประเทศรัสเซีย ได้เลี้ยงและผสมพันธุ์สุนัขสายพันธุ์นี้จนประสบความสำเร็จส่งเข้าประกวดจนได้รับรางวัลใหญ่ ๆ และรางวัลที่มีความสำคัญทั้งในและต่างประเทศจนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ด้วยการยึดหลักสำคัญในเรื่องของคอกเลี้ยงสุนัขจะต้องมีคุณภาพและได้มาตรฐาน ปัจจุบันมีการพัฒนาสายพันธุ์อย่างต่อเนื่องโดยเน้นหนักในเรื่องข้อตะโพกและหัวไหล่ สุนัขทุกตัวของที่แห่งนี้มีสายเลือดที่ดี 


           อาหารนับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญที่มองข้ามไม่ได้  ถึงแม้ว่าสุนัขจะมีสายพันธุ์ดีแค่ไหนหรือพ่อแม่เป็นแชมเปี้ยน ถ้าขาดการเอาใจใส่อาหารการกิน ไม่ดี ไม่มีทางที่จะ ทำให้สุนัขมีความสวยงามตรงตาม สายพันธุ์ได้ หลักการของการให้อาหารควรจะให้ลูกสุนัขได้ รับสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ กินน้อย ๆ  แต่บ่อยครั้ง เนื่องจากลูกสุนัขตัวเล็ก กระเพาะอาหารจะเล็กตามไปด้วย     อย่าให้ลูกสุนัขกินอาหารจนพุงกาง จำนวนมื้อในการให้อาหารสุนัขโดยทั่วไปแล้ว  ก็ต้องดูที่ความต้องการอาหารของลูกสุนัขมากกว่า เช่น ตั้งแต่หย่านมจนถึงอายุ  3 เดือนจะให้วันละ 3-4 มื้อ, อายุ 3-6 เดือน จะให้วันละ 2-3 มื้อ, อายุ 6-12 เดือน จะให้วันละ 2 มื้อและเมื่อสุนัขมีอายุได้ 1 ปีขึ้นไปจะให้อาหารเพียงวันละ 1-2 มื้อเท่านั้น
   
           โดยปกติแล้ว “เฟรนช์ บูลด๊อก” ชอบสภาพอากาศเย็น ถ้าจะเลี้ยงในห้องปรับอากาศควรจะตั้งอุณหภูมิประมาณ 27 องศาเซลเซียส ไม่ควรปรับแอร์ให้ ต่ำกว่า 23 องศาเซลเซียสอาจจะทำให้ เป็นโรคปอดชื้นได้ ถ้าไม่มีห้องแอร์ควรจะเป็นคอกที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี ไม่ร้อนจนเกินไป.
 

มาทำความรู้จักกับ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์

โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขขนาดใหญ่ที่มีความคล่องตัวสูง เป็นสุนัขที่มีความเฉลียวฉลาดมากมากจนสามารถนำมาฝึกเพื่อใช้ งานได้

  โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขขนาดใหญ่ที่มีความคล่องตัวสูง เป็นสุนัขที่มีความเฉลียวฉลาดมากมากจนสามารถนำมาฝึกเพื่อใช้
งานได้ เนื่องจากเป็นสุนัขที่มีขนาดไม่เล็กหรือไม่ใหญ่จนเกินไป จัดว่าเป็นสุนัขที่มีประสาทสัมผัสดีเลิศทั้งในด้านของการฟังเสียง การดมกลิ่นสะกดรอย นอกจากนี้ยังมีสายตาอันเฉียบคมและแม่นยำ ด้วยเหตุนี้วงการทหารและตำรวจในหลายๆ ประเทศจึงได้นำสุนัขพันธุ์นี้มาฝึกเพื่อไว้ช่วยงานราชการ อาทิเช่น ตรวจค้นยาเสพติด, ดมกลิ่นสะกดรอยคนร้าย, ยามรักษาความปลอดภัย แต่ที่ดูเหมือนจะได้รับความนิยมสูงสุด ก็เห็นจะได้แก่ฝึกให้เป็นสุนัขนำทางคนตาบอด ทั้งนี้เพราะโกลเด้น รีทรีฟเวอร์เป็นสุนัขซึ่งฉลาด แต่ไม่ค่อยเจ้าเล่ห์หรือซุกซนเหมือนสุนัขบางพันธุ์     

                เจ้าสีทองพันธุ์นี้ปรากฏขึ้นในลักษณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในเมืองอังกฤษในทศวรรษที่ 1860 เป็นสุนัขที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากสุนัขในกลุ่มสแปเนี่ยล ซึ่งเป็นสุนัขที่มีความเชี่ยวชาญทางน้ำเป็นพิเศษ โดยมีขนาดเล็กกว่าสุนัขพันธุ์นิวฟาวน์แลนด์ แต่มีลักษณะโครงสร้างที่คล้ายคลึงกัน สันนิษฐานว่าอาจผสมข้ามพันธุ์มาจากสุนัขพันธุ์ไอริชเซทเทอร์ และสุนัขในกลุ่มวอเตอร์สแปเนี่ยล โดยอาจมีสายเลือดของสุนัขพันธุ์บลัดฮาวน์เข้าไปเจือปนอยู่ด้วย
                ต่อมาในปลายศตวรรษที่ 19 สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์หรือที่บางคนเรียก เยลโล่ รีทรีฟเวอร์ ( YELLOW RETRIEVER ) ก็เป็นที่รู้จักและนิยมเลี้ยงกันแพร่หลายในประเทศอังกฤษ จนในปี ค.ศ. 1908 ก็ได้จัดให้มีการประกวดสุนัขพันธุ์นี้ขึ้นเป็นครั้งแรกที่คริสตัลพาเลซ และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีการจัดตั้งชมรมสุนัขพันธุ์นี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ
                สำหรับในสหรัฐอเมริกา โกลเด้น รีทรีฟเวอร์เริ่มเป็นที่นิยมเลี้ยงกันแพร่หลายในราวปี ค.ศ. 1930 เป็นต้นมา โดยชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะเลี้ยงโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ไว้เพื่อเป็นนักล่า แม้ทางสมาคม AKC ของสหรัฐอเมริกาจะให้การรับรองสุนัขพันธุ์นี้เข้าไว้ในทำเนียบตั้งแต่ปี ค.ศ. 1925 แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ค่อยได้รับจากผู้เลี้ยงที่คิดอยากจะส่งสุนัขเข้าประกวดซักเท่าไหร่ เนื่องจากผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับประสิทธิภาพของการใช้งานมากกว่าการประกวด และในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1977 ทางสมาคม AKC ก็ได้จัดให้มีการประกวดความสามารถและความฉลาดแสนรู้ของสุนัข ซึ่งผลปรากฏว่าสุนัขที่ได้รางวัลที่ 1-3 ล้วนเป็นสุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ทั้งสิ้น จากผลการประกวดในครั้งนั้นทำให้ชาวอเมริกันเริ่มเกิดความตื่นตัว และหันมาให้ความสนใจเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้มากขึ้น
                สำหรับในด้านของสายพันธุ์ ในยุคสมัยแรกๆ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์จะมีสีเฉพาะสีทองหรือสีน้ำตาลออกไปทางเหลือง
( ซึ่งก็มีด้วยกันหลายเฉด ) แต่พอมาในช่วงหลังๆ ก็ได้เกิดสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งมีขนสีน้ำตาลเข้มหรือน้ำตาลไหม้ ซึ่งสีนี้ก็เป็นสีที่นิยมมากพอ
สมควรทั้งในยุโรปและอเมริกา เนื่องจากเป็นสีที่แปลกใหม่
 
 

ลักษณะเด่น

                ขนชั้นนอกแน่น เงา หยิกเป็นลอนเล็กน้อย และราบเรียบไปตามลำตัว กันน้ำได้ดี ขนชั้นในแน่น และกันน้ำได้ดีเช่นเดียวกัน มีขนปุกปุยหนาแน่นบริเวณคอ ด้านหลังขาหลัง และหาง และมีขนปุกปุยปานกลางบริเวณด้านหลังขาหน้าและท้อง สีของขนมีหลายเฉดสีต่างกันไป ตั้งแต่สีทองเข้มจนถึงทองเงา



นิสัย   

                เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่ามีสุนัขน้อยพันธุ์นักที่จะมีนิสัยสุภาพ น่ารัก มีเสน่ห์ ขี้เล่น ช่างประจบเอาใจ และเสียสละรักเจ้าของได้เท่ากับสุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์นี้ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์เป็นสุนัขที่ใจดี ชอบอยู่กับคนและสัตว์อื่น มีมนุษย์สัมพันธ์ดี สามารถปล่อยให้เป็นเพื่อนเล่นกับเด็กๆ หรือลูกหลานได้อย่างสบายใจ ค่อนข้างติดคนหรืออยากให้เจ้าของสนใจเสียจนบางครั้งอาจรู้สึกว่าน่ารำคาญ โกลเด้นรีทรีฟเวอร์เป็นสุนัขที่ฝึกง่ายซึ่งควรเริ่มฝึกเสียแต่เนิ่นๆ แต่ก็มีบางตัวที่ขี้ตกใจ เป็นกระต่ายตื่นตูม ดังนั้นการฝึกที่นุ่มนวลและมีแรงจูงใจที่ดีจะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้ มันชอบเห่าเมื่อมีคนอยู่หน้าประตูบ้าน แต่มีบ่อยครั้งที่การเห่านั้นเป็นการแสดงการทักทาย มิใช่การขู่ เจ้าของควรทำรั้วล้อมรอบบริเวณบ้านให้ดี เพราะถ้าขืนปล่อยสุนัขพันธุ์นี้ให้เป็นอิสระมากไป มันจะหนีออกไปข้างนอกบ้านและคุณคงต้องตามหามันจนเหนื่อย



การตัดแต่งขนและการออกกำลังกาย
 
                เจ้าโกลเด้นเป็นสุนัขที่มีขนร่วงมาก จำเป็นจะต้องแปรงและหวีขนให้มันสัปดาห์ละหลายๆ ครั้ง มันจะมีความสุขมากๆ หากเจ้าของพามันไปเดินเล่นไกลๆ ทุกวันหรือหาสนามโล่งๆ ให้ได้วิ่งเล่นแบบสบายๆ ไร้กังวล ได้เล่นกับสุนัขตัวอื่น วิ่งเก็บลูกบอล หรือว่ายน้ำ


ถิ่นกำเนิด
 
                เป็นสุนัขที่มีถิ่นกำเนิดจากเมืองผู้ดีอังกฤษและสก็อตแลนด์ในราวศตวรรษที่ 19 ได้จากการผสมพันธุ์สุนัขระหว่างพันธุ์นิวฟาวแลนด์ขนเรียบสีเหลืองกับ ทวีดวอร์เตอร์ สแปเนียล ภายหลังได้ผสมกับพันธุ์ไอริช เว็ทเตอร์ บลัดฮาวด์ และ วอเตอร์ สแปเนียล เดิมเป็นสุนัขที่ใช้ในกีฬาล่าสัตว์ โดยนายพรานจะใช้มันชี้รอยตามรอย และเก็บเป็ดน้ำที่ยิงได้กลับมา


ข้อควรระวังเป็นพิเศษ

                ลูกสุนัขที่ได้มาจาการผสมพันธุ์ที่ไม่ดี จะมีนิสัยก้าวร้าว ซนอย่างร้ายกาจ กระตือรือร้นมากเกินไป และขี้โรค
ปัญหาสุขภาพของสายพันธุ์ : โรคข้อสะโพกและข้อศอกห่าง โรคต้อกระจก โรคขาดฮอร์โมนไทรอยด์ โรคเนื้องอกในต่อมน้ำเหลือง



สุนัขพันธุ์ไทยหลังอานที่เมืองสามหมอก

เมื่อแรกเกิด ต้องให้ลูกสุนัขได้อยู่กับแม่เพื่อให้ได้รับนมน้ำเหลือง ซึ่งมีคุณค่าสูง มีภูมิต้านทานโรคต่าง ๆ ให้แก่ลูกสุนัข โดยที่ ผู้เลี้ยงดูจะให้อาหารเสริมแก่แม่สุนัข เพื่อให้แม่สุนัขแข็งแรง สามารถผลิตน้ำนมให้ลูกอย่างเพียงพอ


  ในการดูแลลูกสุนัข คุณอดิศักดิ์ แนะนำว่า เมื่อแรกเกิด ต้องให้ลูกสุนัขได้อยู่กับแม่เพื่อให้ได้รับนมน้ำเหลือง ซึ่งมีคุณค่าสูง มีภูมิต้านทานโรคต่าง ๆ ให้แก่ลูกสุนัข โดยที่ ผู้เลี้ยงดูจะให้อาหารเสริมแก่แม่สุนัข เพื่อให้แม่สุนัขแข็งแรง สามารถผลิตน้ำนมให้ลูกอย่างเพียงพอและ ยังช่วยให้แม่สุนัข ไม่โทรมอีกด้วย นอกจากนี้ ผู้เลี้ยงสุนัขจะต้องล้างทำความสะอาด ถ้วยน้ำ ถ้วยอาหาร และคอกให้สะอาดอยู่เสมอ หากอากาศหนาวเย็น ควรจะติดไฟหลอดไว้เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ลูกสุนัข
   
               เมื่อลูกสุนัขอายุได้ประมาณ 25 วัน จะให้ยาถ่ายพยาธิ ซึ่งพยาธิอาจส่งผ่านจากแม่มาทางน้ำนม หรือยุงที่กัดลูกสุนัขได้ และเมื่ออายุได้ 45 วัน ก็จะเริ่มทำวัคซีนรวม เข็มแรก เพื่อให้ลูกสุนัขได้รับภูมิต้านทาน โรคเพิ่มขึ้น อีก 2 สัปดาห์จึงจะทำวัคซีนเข็มที่ 2 และเข็มที่ 3 จะฉีดให้ในอีก 2 สัปดาห์ถัดไป เมื่อลูกสุนัขอายุได้ 3 เดือน ก็จะฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
   
               ลูกสุนัขจะเริ่มหย่านมและกินอาหารเองเมื่ออายุได้ประมาณ 30 วัน ซึ่งผู้เลี้ยงจะให้นมเสริม รวมกับหัวอาหารและกล้วย ปั่นเข้าด้วยกัน เพื่อให้ลูกสุนัขกินได้ง่ายและท้องไม่ผูก
 
               การฝึกและเลี้ยงดูสุนัขโต สุนัขพันธุ์ไทยหลังอาน เป็นสายพันธุ์ที่ชอบวิ่งออกกำลังกาย จึงควรให้สุนัขได้มีการออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน โดยจะให้สุนัขได้วิ่งวันละ 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 15 นาที ในช่วงเช้าจะเริ่มเวลา 07.00 น. และช่วงบ่าย จะเริ่มเวลา 13.30 น. หากเป็นสุนัขที่ต้องการฝึกเข้าประกวด ก็จะเพิ่มเติมในการเช็ดตัว เตรียมตัว แต่งตัว และยืนบนโต๊ะเตรียมโพสท่าสำหรับการประกวด เมื่อใกล้ถึงวันประกวด สุนัข ก็จะฝึกให้นอนในกล่องเพื่อให้สุนัขมีความเคยชินและไม่รู้สึกตื่นเต้นเมื่อต้องเดินทางและเข้าสนามประกวด
   
               อาหารที่ให้สุนัขกิน ได้แก่ ข้าว หัวอาหาร (อาหารเม็ด) ต้มกระดูกไก่ ไข่ นม บางทีก็ให้ปลากระป๋อง เพื่อเปลี่ยนรสชาติไม่ให้สุนัขรู้สึกซ้ำซาก
   
               การดูแลรักษาสุขภาพ สุนัขไทยหลังอานเป็นสุนัขที่ขนสั้นเกรียน เมื่อโดนยุง หรือแมลงกัดจะทำให้เกิดเม็ดตุ่มสีแดงทำให้ผิวหนังไม่สวย นอกจากนี้ยุงยังเป็นพาหะ  ของพยาธิต่าง ๆ ที่จะเข้าสู่กระแสเลือดของสุนัขได้ ต้องฉีดยาฆ่าพยาธิให้เดือนละ 1 ครั้ง เพราะนอกจากช่วยในการฆ่าพยาธิแล้ว ยังสามารถกำจัดเห็บ หมัด ที่มากัดกินเลือดได้อีกทางหนึ่ง.


อเมริกันบูลลี่พันธุ์ใหม่ ไม่ดุ ไม่โหด อย่างที่คิด
ที่มา และ ภาพประกอบ : เดลินิวส์ ออนไลน์
อเมริกันพิทบูล ขึ้นชื่อเรื่องความดุที่สุด เป็นข่าวให้เห็นบ่อยว่ากัดเจ้าของจนเสียชีวิต แต่ขณะนี้ มีการพัฒนาสายพันธุ์ เป็น ‘อเมริกากันบูลลี่’ ไม่ดุ หรือโหดร้ายแน่

 

  อเมริกันพิทบูล ขึ้นชื่อเรื่องความดุที่สุด เป็นข่าวให้เห็นบ่อยว่ากัดเจ้าของจนเสียชีวิต แต่ขณะนี้ มีการพัฒนาสายพันธุ์ เป็น ‘อเมริกากันบูลลี่’ ไม่ดุ หรือโหดร้ายแน่ ...

                ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา เป็นข่าวหน้า 1 หลายฉบับ...สุนัขกัดเจ้าของจนเสียชีวิต สาเหตุน่าจะเกิดจากอาการเครียด เนื่องจากลืมปล่อยออกมาจากกรงเหมือนเช่นทุกวัน...!!!

                สัตว์สี่ขาตัวนี้ คือ...อเมริกันพิทบูล เทอร์เรีย (American Pit Bull Terrier) หรือเรียกสั้นๆว่า พิทบูล ชื่อมันดังไปทั่วโลกในเรื่อง ความดุร้าย และ โหดเป็นที่สุด....!!!

                ภาพลักษณ์ อเมริกันพิทบูล...ในห้วงเวลานี้อาจไม่สู้ดีนัก อีกทั้งยังถูกควบคุมเป็นพิเศษในหลายประเทศ ส่วน ไทยเรา...กรมปศุสัตว์ สั่งห้ามนำเข้าโดยเด็ดขาด รวมถึง ควบคุมการเลี้ยงที่มีอยู่เดิม แล้ว...แต่ยังมีการจำหน่ายกันอยู่บ้างในกลุ่มผู้นิยมสุนัขสายพันธุ์นี้...

                คุณณกรณ์ สุตัณฑวิบูลย์ หนึ่งในผู้นิยมเลี้ยง... อเมริกันพิทบูล เทอร์เรีย บอกว่า สุนัขสายพันธุ์นี้เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 โดยผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่าง ...สายพันธุ์บูลด๊อก กับ สายพันธุ์เทอร์เรีย กลายมาเป็น... บูลแอนด์เทอร์เรีย (Bull-and-Terrier)

                ต่อมามีการอพยพนำไปยัง สหรัฐอเมริกา จึงกลายมาเป็นที่มาของชื่อ...อเมริกันพิทบูล แบ่งออกเป็นสองสายหลัก คือ สายกัด และ สายโชว์ บ้านเรานิยมเลี้ยง อเมริกันพิทบูลสายโชว์

                ณ วันนี้ มีการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่มีหลายลักษณะ มีชื่อเรียกแตกต่างไปแล้วแต่ความชอบ อาทิ "บูลลี่ สไตล" มีรูปร่างออกไปทางเตี้ยล่ำ น้ำหนักเต็มที่ไม่เกิน 40 กิโลกรัม ขณะที่ "บิ๊กบูลลี่" สไตล์ใกล้เคียงกัน แต่มีขนาดใหญ่กว่า มี น้ำหนักขึ้นไปถึง 50 กิโลกรัม และ "พ็อกเก็ตพิท" ถูกบรีด ให้ตัวเล็กลงและมีสีสันที่น่ารัก เพื่อความเหมาะกับสังคมเมือง...

   สำหรับผู้ริเริ่ม...อเมริกันบูลลี่ คือ...เดฟ วิลสัน เจ้าของ คอกสุนัข อาร์.อี. เริ่มเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา จนได้รับความนิยมมากขึ้น ทั้งนี้ สายเลือดนั้นต้องเป็นสุนัขที่มีความสมส่วน มีโครงสร้างใหญ่ กระดูกใหญ่ หัวโตได้รูป กระบอกปากสั้นและใหญ่ มีขาหน้าตรงสวยงาม ขาหลังมีมุม การเคลื่อนไหวตัวที่ราบเรียบและดูสวยงาม ซึ่งถูกต้องตาม มาตรฐาน AKC และ UKC ทั้งยังเน้นความฉลาด รวมทั้ง ไม่ดุ ไม่โหดอย่างที่คิด อีกด้วย                 ในการพัฒนา สายพันธุ์อเมริกันบูลลี่ หากจะให้มันมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ควรให้ อาหารที่เหมาะสม เช่น อาหารเม็ดสำเร็จรูปกับไข่ต้มในช่วงเช้า และช่วงเย็นเป็นเศษเนื้อวัวสด หั่นชิ้นล้างน้ำสะอาด หรือโครงไก่สด ปีก น่อง ที่ไม่มีกระดูก แต่ทุกเดือนต้องให้ถ่ายพยาธิให้ด้วย
                ปัจจุบัน อเมริกันสายพันธุ์บูลลี่ นิยมเลี้ยงกันในกลุ่มผู้ที่รักกลุ่มเล็กๆ แต่หากใครต้องการเพื่อนร่วมเดินทาง หรือยามในที่พัก พร้อมที่จะเคียงข้างในฐานะผู้พิทักษ์ กริ๊งกร๊างกันหา...ณกรณ์ 08-1823-9914 ในเวลาที่เหมาะสม.
ที่มา และ ภาพประกอบ : ข่าวไทยรัฐออนไลน์

บางแก้ว

สุนัขไทยพันธุ์ บางแก้ว แหล่งกำเนิด นั้นอยู่ที่ วัดบางแก้ว ต.บางแก้ว อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม สภาพภูมิประเทศทั่ว ๆ ไปนั้นยังคงเป็น ป่าพง ป่าระกำ ป่าไผ่ และต้นไม้ชนิดต่าง ๆ

 สุนัขไทยพันธุ์ บางแก้ว จากข้อมูล ที่ได้สอบถามจากประชาชนตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านบางแก้ว ต.บางแก้ว บ้านชุมแสงสงคราม ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก พอจะสรุปได้ว่า แหล่งกำเนิดของ สุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว นั้นอยู่ที่ วัดบางแก้ว ต.บางแก้ว อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม สภาพภูมิประเทศทั่ว ๆ ไปนั้นยังคงเป็น ป่าพง ป่าระกำ ป่าไผ่ และต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัย ของสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ชุกชุม เช่นช้างป่าเป็นโขลง ๆ หมูป่า ไก่ป่า สุนัขจิ้งจอก และหมาใน
หลวง พ่อมาก เมธาวี เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 3 ของวัดบางแก้ว ที่วัดของท่านเลี้ยง สุนัขไว้ไม่ต่ำกว่า 20-30 ตัวซึ่งส่วนใหญ่เป็นสุนัขที่ดุขึ้นชื่อลือชา และชาวบ้านทราบกันดีว่า ใครที่เข้ามาในวัดแต่ละครั้งจะต้องตะโกนให้เสียงแต่ไกล ๆ เพื่อให้พระอาจารย์มาก เมธาวี ท่านช่วยดูหมาเอาไว้ก่อน มิฉะนั้นจะถูกมันไล่กัด ด้วยกิติศักดิ์ในความดุของ สุนัขที่วัดบางแก้วนี้เองจึงมีผู้คนนิยมมาขอลูกสุนัขไปเลี้ยงไว้ เฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน เฝ้าเรือ เฝ้าแพ เฝ้าวัว เฝ้าควาย พื้นที่ ๆ สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วได้ขยายพันธุ์ไปมากที่สุดก็คือ ต.บางแก้ว ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก แต่ในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างออกไป หลายจังหวัด
เหตุผลที่สันนิษฐานว่า สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วเป็นสุนัขลูกผสมสามสายเลือด พื้นที่ในเขต ต.บางแก้ว ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ ในอดีตนั้นเป็นป่าดงพงพีที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สัตว์ป่านานาชนิดรวม ทั้งสุนัขจิ้งจอก และหมาในอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โอกาสที่สุนัขจิ้กจอกและหมาในตัวผู้จะมาแอบลักลอบเข้ามาผสมพันธุ์กับสุนัข ไทยตัวเมียที่เลี้ยงไว้ในวัดบางแก้วนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียวเพราะ สุนัขป่าทั้งหลายนี้เป็นสุนัขที่กล้าหาญชาญชัย ว่องไว ใจปราดเปรียว แข็งแรง เมื่อมีการผสมข้ามพันธุ์กันตามธรรมชาติ สุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว มีลักษณะดีเด่นปรากฏโฉมออกมาคือ มีขนยาว ขนมีลักษณะเป็นขนสองชั้นคล้ายอานม้า หางเป็นพวงสวยงาม มีขนแผงคอคล้ายแผงคอสิงโต ดุ เฉลียวฉลาด มีไอคิวสูง ไม่แพ้สุนัขพันธุ์ต่างประเทศ
ปู่เทือง คงเจริญ เป็นบุคคลสำคัญที่ร่วมอนุรักษ์ พัฒนา สุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว ปู่เทือง คงเจริญ เป็นลูกศิษย์ของ หลวงปู่มาก เมธาวี ท่านมีบารมีมาก สามารถสะกดรอยตามเท้าสัตว์ได้ สมัยก่อนเดินทางด้วยม้า แล้วมีโจรมาขโมยม้าของหลวงปู่ หลวงปู่มาก ก็ใช้คาถาสะกดรอยตามเท้าสัตว์ จากนั้นไม่กี่วัน ก็ได้ม้ากลับคืนมา หลวงปู่มาก เป็นพระที่มีเมตตาต่อสัตว์ ท่านเลี้ยงสัตว์เป็นจำนวนมาก รวมถึง หมาบางแก้ว ที่เป็นหมาที่มีคุณค่า หลังจากนั้น ปู่เทือง ก็ได้นำหมาบางแก้วมาเลี้ยงไว้ที่หมู่บ้านชุมแสงสงคราม จ.พิษณุโลก และมีการพัฒนาพันธุ์และเผยแพร่ ปู่เทือง คงเจริญเป็นผู้บุกเบิก
ลักษณะทั่วไป - บางแก้ว
ชมรม ผู้อนุรักษ์และพัฒนาสุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว จ.พิษณุโลก เป็นหน่วยงานแรก ๆ ที่ได้ประชุม ตกลงร่างมาตรฐานหมาบางแก้วขึ้นมา (ในปี พ.ศ. 2534 และได้ถือเป็นแบบอย่างมาเท่าทุกวันนี้)
หมา บางแก้วจะเดินหรือวิ่งเหยาะ ๆ ท่วงท่าสวยงาม ปกติจะวิ่งซอยเท้าถี่ ๆ สง่างาม บางตัวเวลาเดินเห็นแผงขนบนสันหลังยกขึ้นดูสง่างามเฉกเช่นม้าย่างเท้าสวนสนาม ขึ้นชื่อมากเรื่องความดุ มีความซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ รักและหวงเจ้าของ ไม่ชอบคนแปลกหน้า มีความสามารถในการดมกลิ่นเป็นเลิศ จำเสียงได้แม่นยำ กินอาหารง่าย มีความกล้าหาญ กล้าที่จะสู้กับสุนัขที่ตัวโตกว่า มีประสาทตื่นตัวอยู่เสมอแม้นอนหลับ เป็นสุนัขที่ชอบเล่นน้ำ เมื่อหมอบข้อศอกจะแนบกันพื้นและเท้าหลังจะแบออกทั้งสองข้าง ก่อนจะกินน้ำในอ่าง ชอบเอาเท้าหน้าข้างหนึ่งข้างใดจุ่มลงไปในอ่างก่อน เวลาขู่จะเหยียดขาหน้าพุ่มไปข้างหน้า แล้วผงกหัวและแผงขนหลังตั้งขึ้นพร้อมกับส่งเสียงขู่ ชอบกินเนื้อสัตว์และปลา เนื่องจากหมู่บ้านบางแก้ว อาชีพหลักของชาวบ้านแถบนั้นคือจับปลา ค้าปลาน้ำจืด และเลี้ยงสุนัขไว้บนแพ อาหารที่ได้จึงหลีกไม่พ้นปลา แต่อาหารอื่นก็กินได้เช่นกัน
หัวกะโหลก: กะโหลกใหญ่ ปากยาวแหลม คอยาวกว่าหมาไทยทั่วไป กะโหลกศีรษะและปากรับกันเป็นรูปสามเหลี่ยม หูเล็กสั้นตั้งป้องไปข้างหน้า ปลายหูเบนออกข้างเล็กน้อย โคนหูทั้งสองอยู่ห่างกันมากกว่าหมาไทยหลังอาน จึงใช้เป็นจุดเด่นในการสังเกตว่าเป็นหมาบางแก้ว ตาเล็กกลมรี พื้นสีตาเป็นสีเหลืองทองคล้ำ ม่านตาตรงกลางสีดำ มีแววของความไม่เชื่อใจใครง่าย ๆ ขณะโกรธหรือขู่จะขึ้นแววฟ้าใส แววที่เรียกว่า “ตาเขียว” จมูกสีดำ ฟันซี่เล็กขาวคม มีเขี้ยวข้าบน 2 ล่าง 2 ลิ้นเป็นสีชมพู ส่วนมากไม่มีปากดำเหมือนหมาไทยหลังอาน
หู: มี 2 ลักษณะ คือ ถ้าหากใบหูใหญ่ปลายหูกลมมน ภายในหูมีขนปกคลุมปิดรูหูเป็นลักษณะของหูสุนัขจิ้งจอก แต่ถ้าหูเล็กสั้นมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ตั้งป้องตรงไปข้างหน้า ปลายหูเบนออกไปทางด้านข้างเล็กน้อย จะเป็นลักษณะของหูหมาไน ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก หูของหมาบางแก้วส่วนมากที่ขอบใบหูจะมีลักษณะเป็นสันเล็ก ๆ มีขนอ่อนปกคลุมอยู่ภายในหู และที่กกหูด้านนอกจะมีขนปุยนุ่มปกคลุมมากบ้างน้อยบ้าง
ตา: มีลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยมคล้ายตาเสือ ที่ทำเป็นเซื่องซึม แต่เมื่อเจอะเจอคนแปลกหน้าจะมีแววดุวาวและเขียวปั๊ด
ปาก: ปากแหลมเรียวกว่าสุนัขไทยทั่ว ๆ ถ้าหากมองจากหน้าหน้าจะสังเกตเห็นว่าหัวกะโหลกลงมายังปากจะแคบสอบลงไปเรื่อย ๆ คล้ายกับสามเหลี่ยม ถ้าหากสีของลำตัวด่างแดงสนิมกับขาวหรือดำขาวบริเวณปากจะมีสีขาวผ่านตลอดใต้ คางที่ปลายปาก ซึ่งคล้ายคลึงกับลักษณะของสุนัขจิ้งจอกและหมาไน ซึ่งคนไทยโบราณเรียกว่า ปากคาบแก้ว ถ้าเป็นสีปลอดมักจะไม่มี ฟันแข็งแรง เขี้ยวเล็ก แหลมคม
คอ: ใหญ่ หนา และแข็งแรงมาก เมื่อโตเป็นหมาหนุ่มสาวจะต้องใช้โซ่และปลอกคอที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรง เพราะเวลากระโดดหรือกระชากจะได้ไม่ขาดง่าย
หาง: โคนหางใหญ่ โค้งงอไปข้างหน้า ถ้าปลายคางจรดกลางหลังไม่ไพล่ไปข้างใดข้างหนึ่งของลำตัวจะสวยงามมาก ขนที่หางจะยาวตั้งเป็นพุ่มกระจายเป็นพวงโค้งไปข้างหน้า ปลายหางจรดหลัง หางที่ขอดเป็น วงกลมหรือหางที่มีลักษณะอื่นๆ มิได้หมายความว่าไม่ถูกต้องตามลักษณะของหมาบางแก้ว ทั้งนี้เนื่องจากลักษณะของหางที่โค้งงอไปบนหลังนั้นเป็นลักษณะเด่นทางพันธุ กรรมของหมาไทย ส่วนหางที่มีลักษณะเป็นพุ่มพวงนั้นเป็นลักษณะเด่นทางพันธุกรรมของหมาไนและ หมาจิ้งจอก ด้วยเหตุผลดังกล่าวหมาพันธุ์ บางแก้วส่วนมากจังมีหางโค้งเป็นครึ่งวงกลมหรือวงกลม แต่เป็นพวงสวยงาม
ซึ่งพอสรุปลักษณะเด่นของหากได้ 3 แบบ คือ
1. หางตั้งโค้งไปข้างหน้า บางตัวหางจะเหยียดตรงวางทาบไปบนหลัง
2. หางพุ่งไปด้านหลังแล้วโค้งตั้งขึ้นเหมือนหางดาบ ถ้าหางยาวจะโค้งมาจรดหลัง ถ้ายาวมากจะเบี่ยงลงข้าง ถ้าหางเป็นพวงใหญ่มีน้ำหนักมาก หางจะไพล่ห้อยลงข้างตัว ซึ่งส่วนใหญ่หมาบางแก้วจะมีหางลักษณะนี้
3. หางเป็นพวงลาดแบบแทงดิน ยาวห้อยลงอย่างหางม้า เวลาดีใจ เมื่อเดินทางหรือวิ่งจะ แกว่งหางไปมา เวลายืนหากมั่นใจว่าปลอดภัยจะยกหางสูงขึ้นเลยระดับตัวเล็กน้อย เรียกว่าหางจิ้งจอก
ขน: เนื่องจากหมาบางแก้วเป็นลูกผสมที่มี 3 สายเลือด คือ หมาใน หมาจิ้งจอก และหมาไทยพื้นบ้าน ลักษณะสีขนจึงมีสีดังต่อไปนี้คือ สีน้ำตาลแก่สีขาวปลอด สีดำปลอด สีด่างขาวน้ำตาล สีด่างขาว-ดำ และ สีนาค ซึ่งปัจจุบันนี้คงจะสูญพันธุ์ไปแล้ว หมาบางแก้วยังมีลักษณะเด่นอยู่อย่างหนึ่งคือจะมีจุดแต้มตามลำตัว และที่ขา ถ้าสุนัขสีดำ-ขาว จุดแต้มก็จะมีสีน้ำตาลแดง
ขนตามลำตัว: มีลักษณะเป็นขนสองชั้น ชั้นแรกเป็นขนตามลำตัว เป็นขนที่สั้นและอ่อนนุ่มและหนากว่าขนชั้นที่ 2 ขนชั้นที่ 2 เป็นขนเส้นยาว ๆ เริ่มต้นจากท้ายทอย ผ่านต้นคอแผ่กระจายลงไปถึงหนอกหลัง กลางหลัง และโคนหาง บริเวณนี้มีลักษณะคล้ายอานม้า ขนที่บริเวณอกค่อนข้างหนาคล้ายแผงคอ ขนที่สีข้างค่อนข้างยาว สำหรับลูกสุนัขที่มีอายุประมาณ 1-2 เดือน มักจะมีขนหนาปุกปุยและเส้นละเอียดอ่อนนุ่มมือ
ขาหลัง: จะขนานกัน เอนลาดไปข้างหลังเล็กน้อย บริเวณแก้วก้นหรือต้นขาส่วนใหญ่จะมีขนยาวปุกปุยคล้ายปุยนุ่นปกคลุมบริเวณ แก้มก้นและแถบใต้โคนหาง เวลาเคลื่อนไหวจะรับกับหางที่ปัดไปปัดมา
ขา: ขาหน้าเหยียดตรงขนานกัน แต่ค่อนข้างใหญ่กว่าขาหลัง และใหญ่กว่าหมาไทยทั่วๆ ไป บริเวณโคนขาส่วนที่ติดกับลำตัวจะมีขนเส้นยาว ๆ ซึ่งชาวบ้านนิยมเรียกว่า “ขาสิงห์”
นิ้ว: ชิดติดกันที่นิ้วของหมาที่อายุน้อยจะมี ขนยาวปกคลุมคล้ายนิ้วเท้าของสุนัขจิ้งจอก ซึ่งต่างกับหมาไทยทั่ว ๆ ไปที่อายุยังน้อย ๆ อยู่นั้น ขนที่นิ้วเท้าจะไม่ยาว จะเริ่มยาวเมื่อมีอายุมากขึ้น เวลาเดินมักจะโหย่งเท้า
ท้อง: ลักษณะท้องจะไม่คอดกิ่วเหมือนหมาไทยทั่วๆ ไป ลำตัวค่อนข้างจะกลมและหนากว่าหมาไทย แต่อกไม่ลึกเท่ากับหมาไทยทั่ว ๆ ไป
หลัง: ค่อนข้างจะแบน
ขนาด: ตัวผู้สูงประมาณ 45-53 เซนติเมตร (19-21 นิ้ว) ตัวเมียสูงประมาณ 43-48 เซนติเมตร (17-19 นิ้ว) ตัวผู้หนักประมาณ 14-16 กิโลกรัม ตัวเมียหนักประมาณ 13-15 กิโลกรัม
สี: มีหลายสี เช่น สีด่างขาว-ดำ, สีขาว-น้ำตาล, สีขาว-เทา
ลักษณะทั่วไป: เป็นสุนัขขนาดกลาง รูปทรงตั้งแต่ช่วงขาหน้าถึงขาหลังเป็นสามเหลี่ยมจัตุรัส อกกว้างและลึกได้ระดับกับข้อศอก ไหล่กว้าง ท้องไม่คอดกิ่ว ปากแหลม หูเล็ก หางพวง ขนมี 2 ชั้น รักเจ้าของ ฉลาด ปราดเปรียว กล้าหาญ ค่อนข้างดุ สามารถฝึกใช้งานได้ ชอบเล่นน้ำมาก และเกลือกโคนตม

ลักษณะหน้า: สามารถแบ่งได้เป็น 3 แบบคือ
1. ลักษณะหน้าเสือ
ลักษณะใบหน้าดูคล้ายเสือ มีกะโหลกศีรษะใหญ่ หน้าผากกว้าง หูเล็กแบะออกเล็กน้อย แววตา เซื่องซึม และดูดุร้าย เป็นลักษณะของหมาพันธุ์บางแก้วที่ใหญ่ที่สุด บางตัวที่เคยเห็นมาแล้วมีขนาดเท่ากับ สุนักพันธุ์อัลเซเชี่ยนของต่างประเทศ มีขนที่คอเป็นแผง แต่ไม่รอบคอ ไม่มีเคราใต้คาง รูปร่างอาจใหญ่ หรือขนาดกลางก็ได้ มีหางเป็นพวงและมีเป็นพวง ทั้งหางงอและหางม้วน ขนมีทั้งฟูและไม่ฟู มีแผงคอแต่ไม่รอบคอ ลักษณะหน้าเสือถือว่าเป็นเอกลักษณะของหมาบางแก้วอย่าง แท้จริง
2. ลักษณะหน้าสิงห์โต
ถ้าหากได้เลือดสุนัขจิ้งจอกมากจะมีลักษณะหน้าแหลม ขนบริเวณแก้มจะพองออกมาเป็นแผงหรือกระบังหน้าคล้ายคลึงกับหน้าสิงห์โต ลักษณะจะมีแผงใหญ่รอบคอ และมีเคราใต้คางยาวลามไปจรดแผงคอตอนล่าง กะโหลกศีรษะเล็ก หูเล็กตั้งตรงรับกับใบหน้าอย่างสวยงาม เมื่อเรามองจากด้านหน้าจะมีลักษณะคล้ายสิงห์โต ปากไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไป ช่วงตัวตอนหน้าใหญ่ ช่วงท้ายเล็ก ยามปกติแววตาและ ท่าทางจะเซื่องซึม แต่เมื่อเห็นศัตรูหรือคนแปลกหน้า แววตาและท่าทางจะเปลี่ยนเป็นดุร้ายและคล่องแคล่วว่องไวทันที ลักษณะเท้ายาวอูม ขนยาวหุ้มปลายเท้านิดหน่อย มองดูคล้ายเท้าหมี ขนมีทั้งยาวฟู สั้นฟู หางยาวเป็นพวงและไม่เป็นพวง มีทั้งหางม้วนสูงและม้วนต่ำ ลักษณะนี้นับว่าเป็นพันธุ์ดั้งเดิม ถ้ามีแผงคอใหญ่ หูสั้นและหางพวง และมีสีที่ประน้อยมากแล้ว ก็นับว่ามีสายเลือดที่ยังเข้มข้น น่าเก็บเอาไว้ทำพันธุ์ แต่ก็หายากมาก หลายปีจึงจะมีออกมาสักครั้ง มีการซื้อขายกันในราคาที่แพงพอดู
3. ลักษณะหน้าจิ้งจอก
มีใบหน้าแหลม หูใหญ่กว่าทั้งสองชนิดแรก ใบหูไม่ตรงโย้ออกด้านข้าง มองดูเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ขนอ่อนยาวเรียบ ขนหางเป็นพวง รูปร่างมีทั้งใหญ่ กลาง และเล็ก นิสัยไม่ค่อยดุร้ายเหมือนสองพวกแรก ซึ่งถือว่าหน้าจิ้งจอกเป็นข้อด้อยกว่า 2 พวกแรก
อย่างไรก็ตาม ลักษณะเด่นของหน้าหมาบางแก้วคือที่ปลายปากจะมีสีขาวรอบปาก และสีขาวจากปลายปากมากลางแสกหน้าถึงกะโหลกศีรษะที่เรียกกันว่า “หน้าแบ่ง” หรือ “หน้าแด่น” “ปากคาบแก้ว”
ข้อบกพร่อง: ใบหูพลิ้ว ไม่มีขนแผลรอบคอ ขาหน้าเล็ก ไม่มีแข้งสิงห์ ไม่มีขนคลุมนิ้ว เท้า หูใหญ่ หางขอด ขนหลุดร่วง ฟังบนยื่นกว่าฟันล่างหรือฟันล่างยื่นกว่าฟันบน ปากใหญ่ ตาใหญ่ หูไม่ตั้ง หางไม่เป็นพวง ขนสั้น อัณฑะเม็ดเดียว ฟันหัก 3 ซี่ขึ้นไป โดยไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ หางขาด ปากหู่ ตากลม เส้นหลังแอ่น
ที่มา: http://202.29.80.68/bangkaew/
ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น