วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ปัญหาช่องปากของสุนัขที่สามารถดูแลได้

ปัญหากลิ่นปากของสุนัข-เกิดขึ้นเพราะความสกปรกจริงอยู่ว่าฟันผุจะทำให้เกิดกลิ่นสกปรกแน่ๆแต่ที่เราพบบ่อยๆครั้งจากกลิ่นปากเกิดจากระบบย่อยอาหารในท้อง เพราะฉะนั้นถ้าเราแรปงฟันและขัดหินปูนให้สุนัขแล้ว แต่ยังมีกลิ่นปากอยู่ก็ให้มาดูที่อาหารที่สุนัขกินและใช้กระบวนการล้างพิษเข้าช่วยด้วยเพื่อขจัดปัญหากลิ่นปากให้หมดไปอย่างแน่นอน

            เจ็บ/ปวดเหงือก-เอา Hypericum ให้สุนัขก่อนจะเริ่มทำความสะอาดฟัน และถ้าเหงือกบริเวณใดที่อักเสบจะเจ็บปวดจนแทบแตะไม่ได้ ให้ใช้ Clove teething gelm หลังจากนั้นให้ใช้ Hypericum วันละสองครั้งจนกว่าเหงือกจะหายอักเสบ

            เหงือกอักเสบ-สำหรับเหงือกอักเสบ เหงือกเป็นหนองหรือติดเชื้อ ใช้ยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติช่วยบรรเทาอาการด้วยกานผสมน้ำกลั่น 2 ออนซ์กับสารสกัด Golden seal 6 หยด เพื่อล้างปากให้สุนัขหลังอาหาร 2 ครั้ง ซึ่งจะเป็นการฆ่าเชื้อและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของช่องปาก โดยเร่งการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อเหงือก

            การป้องกันฟันผุ-ควรทำความสะอาดทุกอาทิตย์ อาหารที่ถูกโภชนาการและให้เคี้ยวของเล่นจะช่วยได้มาก แต่อย่าให้เคี้ยวหนังดิบ เพราะกลับจะทำให้ฟันเสียหายง่ายและที่สำคัญคือไปอุดตันลำไส้จนถึงตาย กระดูกขนาดเล็กหรือกระดูกอ่อนๆเช่น กระดูกไก่หรือกระดูกหมู ก็ไม่เหมาะกับการให้สุนัขแต่กระดูกใหญ่ๆเช่น กระดูกวัว จะเหมาะแก่การขบเคี้ยวมาก ซึ่งจะทำให้ไม่มีหินปูนและทำให้เหงือกสุขภาพดี
           

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การจัดกลุ่มสุนัข

สำหรับการจัดกลุ่มสุนัขที่มีมากกว่า 400 สายพันธุ์ชึ่งใช้เวลาพัฒนาสายพันธุ์มานานเกือบ 200 ปี เพื่อให้ง่ายต่อการ
นำไปใช้ประโยชน์ AmericanKennel Club (AKC) ได้จัดกลุ่มสุนัขเป็น 7 กลุ่มไว้ดังต่อไปนี้

1. Herding group เป็นสุนัขที่ใช้ในการคุมฝูงปศุสัตว์ต้อนวัวต้อนแกะให้เข้าคอก ได้แก่ สุนัขพันธุ์คอลลี่พันธุ์บอร์เดอร์ คอลี่ พันธุ์เวลคอกี้ พันธุ์โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก พันธุ์เซตแลนด์ ชีพด็อกเป็นต้น

2. Toy group เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็ก บางพันธุ์น้ำหนักตัวแค่ 1.5 ปอนด์ ประโยชน์คือเลี้ยงเพื่อ เป็นเพื่อนเพราะมีความน่ารัก ช่างประจบออเซาะเจ้าของ สุนัขกลุ่มนี้ได้แก่ สุนัขพันธุ์ชิวาวาพันธุ์ปั๊ก พันธุ์ยอคเชียร์ เทอร์เรีย เป็นต้น

3. Hound group เป็นสุนัขที่ใช้ไล่ล่าสัตว์ค้นหาตำแหน่ง ของกวาง หรือกระต่ายในโพรง สุนัขในกลุ่มนี้จะมีจมูกหรือสายตา ที่ดีมาก กลุ่มที่ใช้จมูกดมกลิ่นล่า เช่น สุนัขพันธุ์ดัชซุนพันธุ์บีเกิ้ล พันธุ์บลัด ฮาวนด์และยังมีกลุ่มที่ใช้สายตามองหาสัตว์ เช่น สุนัขพันธุ์อาฟกันฮาวนด์ พันธุ์ชาลูกิ เป็นต้น

4.Sporting group เป็นสุนัขที่ใช้ในเกมกีฬาล่าสัตว์เวลาที่เจ้าของออกไปยิงนกเป็ดน้ำพอยิงได้ก็จะใช้สุนัขพวกใน

กลุ่มนี้ช่วยไปคาบนกเอามาให้เขา สุนัขกลุ่มนี้ได้แก่ สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ รีทีฟเวอร์ พันธุ์โกลเดน รีทีฟเวอร์ พันธุ์พอตเตอร์ เป็นต้น

5. Working group เป็นสุนัขกลุ่มที่เราใช้ประโยชน์ในการ เฝ้ายาม ส่งข่าวสาร งานด้านตำรวจและใช้ลากเลื่อนบนหิมะได้แก่ สุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์ พันธุ์โดเบอร์แมน พันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้ เป็นต้น

6. Non - Sporting group เป็นสุนัขที่มีขนาดต่างกันกับที่ เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเล่นกับคน สุนัขกลุ่มนี้ได้แก่สุนัขพันธุ์บูลด๊อพันธุ์ดัลเมเชียล พันธุ์พูเดิ้ล พันธุ์ เชาว์ เชาว์เป็นต้น

7. Terrier group สุนัขกลุ่มนี้ได้แก่ สุนัขพันธุ์บูลเทอร์เรีย พันธุ์ฟอกซ์เทอร์เรีย พันธุ์แอร์เดลเทอร์เรีย เป็นต้น

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พฤติกรรมสุนัข

พฤติกรรมสุนัขในช่วงที่อายุ 3-12 สัปดาห์
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ลูกหมา จะมีการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมมาก เพราะเป็นช่วงที่ ลูกสุนัขเริ่มที่จะออกมานอกรัง เริ่มวิ่งได้ การเลี้ยงหมาช่วงนี้ จะเหนื่อยที่สุด เพราะ ทั้งกินเก่ง ทั้งอึเยอะ วิ่งเล่นตลอด บางที ถ้าเราไม่มีการรักษาความสะอาดที่ดีพอ ลูกหมาจะเละมาก ช่วงนี้จะเริ่มมีพฤติกรรมาทางสังคม มันจะเริ่มเล่นกันในระหว่างพี่น้อง มีการแย่งกันกิน มีการเห่าร้อง เริ่มเรียนรู้ว่า สิ่งไหนที่เป็นมิตร และสิ่งไหนที่เป็นอันตราย ลองสังเกตได้ ถ้าเราเป็นคนให้อาหาร พอถึงเวลา ลูกหมาเห็นเราก็จะวิ่งรี่เข้ามาห้อมล้อม แต่ถ้าเกิดในขณะนั้นมีการกระตุ้นทำให้เกิดเสียงดัง อาจจะมีใครมาจุดปะทัดดัง ปังใหญ่ รับรองได้ครับว่า เจ้าลูกหมาทั้งหลาย จะวิ่งหนีกัน อาจจะวิ่งเข้ามาหาเรา ซุกที่ขา หรือวิ่งหนีเข้าคอกที่เคยนอน มันจะอยู่ในนั้น จนกว่าจะมีความแน่ใจว่า ปลอดภัยจริงๆ
การสอนสุนัข ให้รู้จักระเบียบวินัย เราสามารถสอนได้ ในช่วงอายุนี้เลย เรื่องเวลาที่กินอาหาร สถานที่กินอาหาร ชนิดอาหาร เริ่มที่จุดนี้ทั้งหมด เรื่องการจัดระเบียบ การอึฉี่ ต้องพาไปในสถานที่ที่เราต้องการ โดยต้องพาไปครั้งแรกตอนเช้าตรู่ จากนั้นคือ ต้องปล่อยออกทุกครั้งหลังจากกินอาหาร และครั้งสุดท้าย คือ ก่อนนอน ถ้าทำได้อย่างนี้ เพียง 5-7 วัน ลูกหมาเราจะรู้แล้วครับ ว่า เค้าจะต้องขับถ่ายที่ไหน ช่วงอายุขนาดนี้ เป็นช่วงที่มีการคาบลูกหมา มากที่สุดด้วยครับ เราต้องเริ่มตั้งชื่อ ชื่อที่ตั้งให้หมา ควรเป็นชื่อที่ไม่เกินสองพยางค์ เป็นชื่อที่ฟังแล้วมีเสียงที่ชัดเจน ไม่เอาชื่อยาว และเสียงฮึมฮัมในคอนะครับ หมามันสับสน

 
พฤติกรรม ที่เป็นปกติมากอีกอย่างหนึ่ง ในช่วงนี้ คือ การใช้ปาก ใช้ฟันกัดคาบของ หรือมือของเรา ไม่เข้าใจว่า สุนัขในอายุขนาดนี้ จะเริ่มมีพัฒนาการ เรื่องการใช้ปากคาบของ ปากของหมาเมื่อเทียบได้กับอวัยวะของมนุษย์ คือ มือ การฝึกจับของ การฉวยของเรา ก็จะพบว่า เป็นพฤติกรรม ที่สำคัญในเด็กเหมือนกัน ถ้าหมาไม่มีพฤติกรรมอันนี้ซิครับแปลก เราจะต้องมีความอดทนนิดหน่อยครับ เดี๋ยวพฤติกรรมอันนี้จะค่อย ๆ ลดลงตามลำดับ ระยะนี้ เรื่องการเคลื่อนไหว การวิ่งเล่น การกระโดด หมาจะต้องทำได้อย่างปกตินะครับ เมื่อตอนที่เราไปเลือกซื้อหมา เราต้องพาหมาที่เราจะซื้อ จูงเดิน จูงวิ่ง ลองทดสอบให้กระโดด ถ้าหมาแสดงท่าทางที่ปกติ ถึงซื้อมา ถ้าไปเลือกดู แล้วพบว่า หมาตัวที่เราจะซื้อ เดินผิดปกติ กระเผลก ขาหน้าโก่ง ขาหลังถ่าง หรือเวลาวิ่ง เอาแต่กระโดดแบบกระต่าย


พฤติกรรมของหมา ในช่วงวัยรุ่นจนถึงวัยเจริญพันธุ์
เริ่มในช่วงเวลาที่หลากหลายกันไปครับ เพราะเนื่องจาก หมามีหลายสายพันธุ์ตั้งแต่ขนาดเล็กจิ๋ว จนถึงสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่มาก อายุของหมาในช่วงนี้ คือ ตั้งแต่

 
5 เดือน เป็นต้นไป หมาในช่วงนี้มีพฤติกรรมอย่างไร? เรื่องที่เรามักจะพบ ในช่วงนี้ คือ เรื่องของพฤติกรรม ที่เริ่มแสดงความเป็นใหญ่ในบ้าน ถ้าเราเลี้ยงหมาหลายตัวที่มีอายุเท่าๆ กัน ในช่วงนี้มันจะเริ่มมี หมาหัวโจก สังเกตว่า ตัวไหนที่เป็นหัวโจกดูง่าย ตัวที่กินก่อน กินเยอะ กินชามข้าวของตัวอื่น เวลาเราเรียกจะรีบวิ่งมาก่อน พอมาถึงจะเอาตัวเบียดหมาตัวอื่น ให้ตกขอบไป หรือถ้าดูง่ายมากๆ คือ ตัวที่ขู่หมาตัวอื่นจนหงอนั่น มันเป็นใหญ่ที่สุด

 
พฤติกรรมที่มีอีก ในช่วงนี้ คือ การประกาศอาณาเขต หมาจะเริ่มมีพื้นที่ส่วนตัวของมัน เช่น บางตัวจะนอนที่ใต้ตู้ ไม่ยอมให้ตัวอื่นเข้ามาตรงบริเวณนี้ บางตัวอาจจะเป็นในครัว บางตัวก็ในห้องนอนเรา พฤติกรรมที่เราจะพบได้อีกในช่วงนี้ คือ การที่หมาเราขึ้นขี่ ทำท่าผสมพันธุ์กัน โดยที่ไม่ได้เป็นสัด เราจะพบว่า บางตัวทำท่าผสมพันธุ์แม้แต่ขาเรา บางตัวขึ้นขี่ผิดท่าผิดทาง อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราจะพบได้เช่นกัน อย่าตกใจ จัดการจับให้เค้าหยุด และดุ ก็จะช่วยให้หมาสงบลงได้ครับ ที่นี้ พอเริ่มมีการพัฒนาจากหมาวัยรุ่นเข้าสู่ในวัยเจริญพันธุ์ พฤติกรรม ที่เราจะพบได้ในหมาตัวผู้ คือ การที่เริ่มยกขาฉี่ เป็นการปล่อยฉี่ออกมา ในปริมาณที่ไม่มาก จะปล่อยในตำแหน่ง เช่น เสา ขาเก้าอี้ ขาโต๊ะ ประตูบ้าน โดยส่วนใหญ่จะเป็นวัตถุที่ตั้งฉากกับพื้นดินครับ ในหมาตัวเมีย เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ สิ่งที่เราสังเกตได้ คือ หมาก็จะเริ่มมีอาการเป็นสัด มีการเปลี่ยนแปลงที่อวัยวะเพศ มีเลือดไหลออกมาจากอวัยวะเพศ มีหมาตัวผู้ เริ่มเข้ามาเกาะแกะรายล้อม  หมามันพร้อมที่จะผสมพันธุ์แน่ ในช่วงนี้ หมาจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่ฟันด้วย ฟันแท้ที่แข็งแกร่งจะเริ่มขึ้น แทนที่ฟันน้ำนม จนเต็มเมื่ออายุได้ 12 เดือน ในช่วงนี้ หมาจะรู้ว่า มันเริ่มมีความแข็งแกร่ง มีอาวุธ คือ ฟันและเขี้ยว มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง หมาตัวผู้ จึงเริ่มมีพฤติกรรมความก้าวร้าวให้เห็นได้ เช่น การกัดกันระหว่างหมาตัวผู้ การที่เริ่มแสดงพฤติกรรมการกัด เพื่อปกป้องสิ่งของ หรืออาณาเขต จากคนแปลกหน้า การเห่าขู่กรรโชกเพื่อขับไล่ นี่คือ พฤติกรรมที่ต้องเป็นในสุนัขทุกตัว


วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สุนัขดื้อมากจะจัดการอย่างไร

ในปัจจุบันผู้เลี้ยงสุนัขจำนวนมาก ที่มีความรู้ความเข้าใจในการเลี้ยงสุนัข แต่ในทางตรงกันข้ามก็มีผู้เลี้ยงสุนัขอีกจำนวนมากที่ ขาดความรู้ ความเข้าใจทีถูกต้องในการเลี้ยงสุนัข จึงเกิดปัญหาตามมา ทั้งความก้าวร้าว การเห่าโดยไม่มีเหตุผล แสดงพฤติกรรมเป็นจ่าฝูงหรือหัวโจกของบ้าน ยิ่งไปกว่านั้นการที่เจ้าของให้ความเอาใจใส่ และ การให้ความสนใจแก่สุนัขมากเกินไป ก็นับเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้สุนัขเกิดความเข้าใจผิดในสถานะตัวเอง ทำให้มันคิดว่ามันมีสถานะที่สูงที่สุด ในบ้าน เป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน พฤติกรรมการเป็นจ่าฝูงจึงเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ดังนั้นจึงขอแนะนำข้อปฏิบัติในเปลี่ยนพฤติกรรมสุนัข

1. ควรให้ความสนใจ หรือให้ความเอาใจใส่แก่สุนัขเพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
2. ควรเรียกสุนัขให้มาหา แทนการเดินเข้าไปหาสุนัข
3. ควรฝึกสอนให้สุนัขเชื่อฟังคำสั่งเบื้องต้นง่ายๆ ได้ เช่น มานี่ นั่ง หมอบ คอย
4. สุนัขจะได้กินอาหารต่อเมื่อคุณและสมาชิกในครอบครัวกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว
5. สุนัขจะได้เล่นของเล่น ต่อเมื่อคุณอนุญาตเท่านั้น
6. สุนัขจะได้กินอาหาร ได้วิ่งเล่น เฉพาะในเวลาที่คุณกำหนดเท่านั้น
7. เจ้าของจะต้องไม่สนองตอบต่อสิ่งที่สุนัขต้องการให้คุณทำ เช่น เห่าเพื่อขออาหาร

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หมา แมวและสัตว์เลี้ยง ไม่เครียดถ้าในกรงไม่มีก๊าซแอมโมเนียและไฮโดรเยนซัลไฟด์

หมา แมวและสัตว์เลี้ยง ไม่เครียดถ้าในกรงไม่มีก๊าซแอมโมเนียและไฮโดรเยนซัลไฟด์






สุขภาพ ของสัตว์เลี้ยงที่เรารักและห่วงแหนจะสมบูรณ์ดีได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากเจ้าของว่ามีความเข้าอกเข้าใจ ชีวิตความเป็นอยู่ของเขามากน้อยเพียงใด สัตว์เลี้ยงตัวใดขาดการดูแลเอาใจใส่ที่ดีเค้าจะหงอยเหงาเศร้าซึมไม่มีชีวิต ชีวาและอาจจะมีอารมณ์แปรปรวน เกิดความเครียดส่งผลให้พฤติกรรม ก้าวร้าวจนเป็นอันตรายต่อเจ้าของ เด็กและเพื่อนบ้านในบริเวณใกล้เคียง

อีก สิ่งหนึ่งที่ควรดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เค้าเกิดความเครียดก็คือ ที่อยู่อาศัย ควรจะมีการดูแลรักษาให้สะอาดปราศจากกลิ่นเหม็นที่อาจส่งผลรบกวนต่อสุขภาพและ จิตใจของเค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เลี้ยงไว้โดยการขังกรงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสัตว์เลี้ยงที่พูดถึงนี้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นหมาและแมวเพียงอย่างเดียว อาจจะเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ ด้วย เช่น นก หนู กระรอก กระแต กิ้งก่า ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน มีความต้องการดูแลเอาใจใส่เช่นเดียวกัน
ต้น เหตุของปัญหาที่ทำให้เกิดก๊าซที่เป็นอันตรายและกลิ่นเหม็น จนสร้างความเครียดความรำคาญให้แก่บรรดาสัตว์เลี้ยงเหล่านี้คือแอมโมเนียและ ไฮโดรเยนซัลไฟด์ ซึ่งสาเหตุเกิดมาจากการหมักหมมบูดเน่าของเศษอาหารที่เหลือและมูลปฏิกูลของ ตัวเค้าเอง วัตถุดิบของอาหารสัตว์จะผลิตให้มีปริมาณของโปรตีนสูงซึ่งส่วนมากจะมาจากถั่ว ซึ่งมีองค์กระกอบของกำมะถันหรือซัลเฟอร์อยู่ด้วย เมื่อถูกย่อยสลายจะเกิดก๊าซไฮโดรเยนซัลไฟด์หรือก๊าซไข่เน่า เมื่อมีปริมาณที่มากขึ้นสัตว์หายใจเข้าไปจะรวมตัวกับฮีโมโกลบิลในเม็ดเลือด แดงทำให้อ๊อกซิเจนในเลือดต่ำ หายใจออก เกิดความเครียด กินอาหารได้น้อย ตายง่าย ส่วนโปรตีนในอาหารที่มีกลุ่มของอมิดนแอซิดอยู่มากจะเกิดการสลายตัวเกิด กระบวนการแอมโมนิฟิเคชั่นได้ก๊าซแอมโมเนีย ซึ่งก๊าซนี้มีความเป็นด่างจัดมีค่าพีเอชประมาณ 11 ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคือง สัตว์เลี้ยงสูดเข้าปอดจะรบกวนระบบทางเดินหายใจ แพ้มากน้ำมูก น้ำตาไหล ไอจามรุนแรง และมักเข้าใจผิดว่าเค้าป่วยหรือเป็นหวัดและพาไปหาหมอ แต่ก็ดีได้ในระยะสั้น ๆ เท่านั้น เพราะสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากก๊าซของเสียต่างๆ ที่เป็นต้นเหตุที่แท้จริง
วิธี การแก้ไขปัญหาควรใช้หินแร่ภู่เขาไฟ ซึ่งมีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องของการจับก๊าซพิษและกลิ่นเหม็นต่างๆ ได้ดีโดยเฉพาะ สเม็คไทต์ซึ่งมีค่าความสามารถในการจับกลิ่นอยู่ที่ 110 meq/100g.หรือจะเป็นไคลน็อพติไลไลท์จะอยู่ที่ 220 meq/100g. นำ มาคลุกผสมกับอาหารก่อนให้สัตว์กินประมาณ 1 – 2% ของน้ำหนักอาหาร เพื่อให้ช่วยลดกรดและก๊าซตั้งแต่ในกระเพาะอาหารเมื่อขับถ่ายออกมากลิ่นและ ก๊าซต่างๆ จะไม่มี และให้หว่านโรยทับผสมกับทรายแมวหรือหว่ายเดี่ยว ๆ แทนทรายแมวก็ได้ตรงบริเวณที่ยังมีกลิ่นและก๊าซพิษอยู่จะทำให้กลิ่นและก๊าซ ต่าง ๆ หมดสิ้นไป ช่วยให้สัตว์อยู่อย่างสุขสบาย ไม่เครียด สุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วยง่าย
กลิ่น และก๊าซพิษต่างๆ ซึ่งไม่มีสีไม่มีกลิ่นและเป็นสิ่งที่สร้างความรำคาญและเป็นอันตรายต่อสัตว์ เลี้ยงทั้งหลายยังมีตัวช่วยแก้ไขปัญหาและลดความรุนแรง แต่เหตการณ์หรือผลกระทบบางอย่างที่เกิดแก่มนุษย์บางครั้งมีทั้งสี มีทั้งกลิ่นและแก๊สให้เห็นอยู่เต็มตา แต่กลับไม่มิวิธีแก้ปัญหาใด ๆ
ที่มา : http://www.thaigreenagro.com/aticle.aspx?id=4292

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ชิวาวา…สุนัขพันธุ์จิ๋ว สัตว์เลี้ยงอารมณ์ดี..ขี้งอน

ชิวาวา…สุนัขพันธุ์จิ๋ว สัตว์เลี้ยงอารมณ์ดี..ขี้งอน

“เล็กๆ…สเปกที่เราชอบ….”
อ๊ะ…อ๊ะ…..อย่าพึ่งคิดมากและตีความหมายเป็น อย่างอื่น เราหมายถึง “น้องหมา” สายพันธุ์ “ชิวาวา” หรือที่เรารู้จักมักคุ้นว่า “หมากระเป๋า” ที่หลายคนตกหลุมรักมันต่างหากล่ะ!…
“ชิวาวา” มีต้นกำเนิดอยู่ที่ในประเทศเม็กซิโก เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่าง Techichi กับสุนัขตัวเล็กที่ไร้ขนมาจากเอเชีย ซึ่งชาวเม็กซิกันนิยม เลี้ยงสีดำแต้มด้วยสีแทน หรือสีขาวจุดดำ ส่วนชาวอเมริกัน นิยมสีพื้นไม่มีแต้มและนิยมเลี้ยงขนสั้นมากกว่าขนยาว…
ทั้งนี้ สถานะของ “เจ้าตัวจิ๋ว” ในยุคของ Toltecs และ Aztec ในช่วงราว ค.ศ. 1519-1520 ไม่ได้เป็นแค่เพียง สุนัขที่ผู้คนนิยมเลี้ยง แต่ยังมีบทบาทความสำคัญทางศาสนา โดย พวกมันถูกใช้เป็นสื่อกลางในการบูชาเทพเจ้า ใช้เป็นผู้นำทางวิญญาณ ไปสู่โลกแห่งความตาย รวมทั้งรับบาปแทนมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ นักโบราณคดีจึงได้เห็นซาก “ชิวาวา” ถูกฝังอยู่ในหลุมศพเดียวกับคนอยู่ทั่วไป ในเม็กซิโกและบางส่วนของสหรัฐอเมริกา
คุณวรุทัย แก้วกำแพง เจ้าของฟาร์มชิวาวา T-CUP SWEET HOME บอกกับ “หลายชีวิต” เกี่ยวกับการดูลักษณะสายพันธุ์ที่ได้มาตรฐานว่า หัวกะโหลกกลม มีโดมสูงเล็กน้อยคล้ายผลแอปเปิ้ล หน้าตา ดูทะเล้น หู ใหญ่ ชี้ตั้ง เอียงออกด้านข้าง 45 องศา ตา กลมโตไม่ปูดโปน แวววาว สีเข้ม
จมูก จะเป็นไปตามสีขน ปาก สั้นชี้ตรงมาข้างหน้า คอ โค้งเล็กน้อย แนว หลังตรง หาง ยาวพอสมควร และต้องไม่ตกลงไปจุกก้น ลำตัว มีความยาวมากกว่าความสูงเล็กน้อย เท้าเล็ก อุ้งเท้าหนานุ่ม นิ้วแยกจากกันชัดเจนแต่ไม่กางออก ท่วงท่าการเดินต้องเดินเตะเหมือนม้าวิ่งเหยาะๆ คล่องแคล่ว
นิสัย ปราดเปรียว กระโดดโลดเต้น ชื่นชอบการ ออกกำลังกาย เพศผู้ อายุจะ เริ่มเป็นสัดเร็วกว่าเพศเมีย หลังผ่านช่วงเวลาจับคู่ “กิ๊บกิ๊ว” กันแล้วจะตกลูกเต็มที่ 1-3 ตัว น้ำหนักแรกเกิดโดย เฉลี่ย 1 ขีด ไม่เกิน 2 ขีด เมื่อโตเต็มวัยอยู่ที่ราว 1.8-2.7 กิโลกรัม ส่วนอายุโดยเฉลี่ยของมันอยู่ที่ 15 ปี
อุแม้เจ้า…แค่นี้เองรึ…แล้วทำไมหลายๆคนถึงตกหลุมรักมัน!….
นายณรงค์กรณ์ ราชวิริยารักษ์ ซึ่งอยู่ที่ 895/27-28 จุฬาลงกรณ์ ซอย 5 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ บอกให้ฟังว่าชอบสายพันธุ์นี้ เพราะมีขนาดเล็ก โดยธรรมชาติรักเจ้าของ ส่วนนิสัยจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับเจ้าของ ถ้าเรารู้จักเอาใจที่จะสอน ค่อยๆฝึก อย่าดุมาก เพราะจะทำให้กลายเป็นหมาที่ก้าวร้าว รนราน และ อิคิว (หมายถึง ชื่อน้องหมา) เข้ามาเป็นสมาชิกของครอบครัวตั้งแต่อายุได้ 2 เดือน ช่วงแรกต้องประคบประหงมมาก ดูแลเขาเหมือนลูก…
ในเรื่องอาหาร หลายคนที่รักหมามักจะให้อาหาร ที่คนกิน ซึ่ง นั่นเป็นการทำร้ายทางอ้อม เพราะจะมีผลต่อลำไส้ ช่วงอายุสั้นลง ที่เหมาะสม ควรเป็นอาหารของสุนัขโดยเฉพาะ หมั่นพาออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะช่วยทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และจิตใจดี
ซึ่งนิสัย อารมณ์ “อิคิว” จะเหมือนเด็ก มีงอนคือนั่งนิ่งอยู่กับที่แอบใช้สายตาชำเลือง ต้องการให้เราง้อ ขี้เล่น ประจบเอาใจเก่ง และยิ่งเวลาที่ต้องการไปเที่ยวหรืออยากได้ของสักชิ้น ด้วยธรรมชาติเป็นทุนเดิมในเรื่องขี้ประจบ เวลาต้องการอะไรจะคลานเข้าหา ใช้เท้าหน้า สะกิด ซึ่งไม่เคยสอนแต่มันเป็นธรรมชาติในสุนัขตัวนั้นๆใน บางวันที่เหนื่อยเคลียด พอเขามาเล่นคลอเคลีย มันทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง นั่นเป็นเพราะเราเปิดใจ ให้เขาอย่างแท้จริง แล้วคุณละก่อนเปิดกระเป๋าควักเงินซื้อ ชีวิตเขามา ขอให้ถามตัวเองก่อนว่า คุณ!…เปิดใจแล้วหรือยัง
และ…นี่เป็นอีกคำตอบหนึ่งจากผู้เข้าร่วมสนุกที่บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป ร่วมกับ T-CUP SWEET HOME จัดกิจกรรมรวมพลคนรักสุนัข ด้วยการพาน้องหมาดูหนังที่ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน…
…คิดเองแล้วกันว่าบรรยากาศเป็นอย่างไร… คน หรือ สุนัขจะสนุกสนาน…!!!
ที่มา : http://www.thairath.co.th/news.php?section=agriculture&content=114438

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มาตรฐานสายพันธุ์สุนัขพันธุ์ ชิห์สุ (Shih Tzu)

มาตรฐานสายพันธุ์สุนัขพันธุ์ ชิห์สุ (Shih Tzu)

มาตรฐานสายพันธุ์สุนัขพันธุ์ ชิห์สุ (Shih Tzu
น้อง หมาพันธุ์เล็กยอดนิยมอย่างชิห์สุ (Shih Tzu) คงทำให้คนรักสัตว์หายเหงากันมาไม่น้อย ยิ่งคนที่มีพื้นที่อาศัยอย่างคอนโด หรืออพาร์ตเม้นท์ซึ่งมีที่อยู่อาศัยที่เล็กลง ชิห์สุจึงถูกหมายตาให้เป็นสมาชิก 4 ขาในบ้านเป็นอันดับต้นๆ ทีเดียว ชิห์สุเป็นสุนัขขนาดเล็ก แต่มีความทรหดอดทนสูง แข็งแรง สร้างเสน่ห์ให้เจ้าของหลงรักได้ไม่เว้นวัน

วิธีดูแลสุนัขช่วงหน้าร้อน

วิธีดูแลสุนัขช่วงหน้าร้อน


ร้อนจริง ร้อนจัง อากาศร้อนช่วงเมษานี้กลางวันร้อนมากถึง 40-41 องศาแบบนี้ ต้องดูแลโกลเดนกันมากหน่อยเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นหมาขนยาวที่มีโอกาสเกิดอาการฮีทสโตรก Heatstroke ที่อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ง่ายกว่าหมาพันธุ์อื่นๆ
ร่างกายของ น้องหมาจะระบายความร้อนทางปากและลิ้นและที่อุ้งเท้าโดยไม่มีต่อมเหงื่อตามรู ขุมขนตามผิวหนังเหมือนคนเรา ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจหากน้องหมาทำลิ้นห้อยอยู่ตลอดเวลาและบางครั้งก็เอา เท้าจุ่มน้ำก็ปล่อยให้ทำไปเพราะเป็นการระบายความร้อนโดยธรรมชาติ อาการฮีทสโตรกเกิดจากร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้กับอากาศร้อนได้ทัน การวิ่งออกกำลังกายมากๆในช่วงอากาศร้อน หรืออาการขาดน้ำที่เพียงพอ หรืออยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนสูงกว่าอุณหภูมิของร่างกายเป็นเวลานานๆ ร่างกายไม่สามารถปรับระบบระบายความร้อนได้ทัน โดยปกติอุณหภูมิของน้องหมาจะอยู่ที่ 38-39 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิร่างกายสูงถึง 40 องศาที่เกิดจากอากาศไม่ใช่เกิดจากอาการไข้ติดเชื้อก็จะมีอาการหายใจแรง หอบ น้ำลายเยอะมาก เหงือกแดงมาก หัวใจเต้นเร็ว หายใจลำบาก อาเจียนออกเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด มีจุดแดงตามร่างกาย กล้ามเนื้อกระตุก อุณหภูมิร่างกายสูง จนเกิดอาการชัก หยุดหายใจและตายได้ ซึ่งจะมีผลทำให้อวัยวะต่างๆได้รับผลกระทบดังนี้
เซลล์ระบบประสาทถูกทำลาย มีเลือดออกที่สมอง
ระบบหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
เยื่อบุลำใส้ขาดเลือดและเป็นแผล อาจเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้
ตับและท่อน้ำดี เซลล์ตับตาย
ระบบขับถ่ายผิดปกติ ทำให้เกิดโรคร้ายแรงเฉียบพลันได้
เลือดเข้มข้นเกินไป เกล็ดเลือดต่ำ ระบบเลือด น้ำเหลือง และภูมิคุ้มกัน
บกพร่อง มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อที่ขาดเลือดและน้ำหล่อเลี้ยงเพียงพอ
เมื่อมี อาการเช่นนี้ต้องพาไปหาแพทย์โดยเร็วที่สุด การปฐมพยาบาลก่อนนำพบแพทย์ทำได้โดยการลดอุณหภูมิร่างกายลงโดยการนำน้ำมาชโลม ให้ทั่วทั้งร่างกายหรือทำให้น้องหมาชุ่มน้ำ ใช้สารระเหยทำให้เกิดความเย็นเช่นแอลกอฮอล์เช็ดบริเวณอุ้งเท้า ใต้รักแร้ และบริเวณขาหนีบ เปิดพัดลมช่วยถ่ายเทความร้อน
การป้องกันคือสิ่งที่ดีที่สุดเราสามารถทำได้โดย
ต้องมีน้ำให้กินตลอดเวลาไม่ให้ขาด
ไม่พาออกกำลังกายในช่วงบ่ายหรือเวลาที่อากาศร้อนจัด
หาที่ร่มหรือที่หลบแดดมีอากาศถ่ายเทให้อยู่ในช่วงกลางวัน
เมื่อไปไหน กับน้องหมาไม่ให้เก็บไว้ในรถโดยเด็ดขาด หรือถ้าจำเป็นต้องจอดในที่ร่มมีอากาศถ่ายเทได้ เปิดกระจกออกให้มีอากาศระบายและมีน้ำดื่มไว้ให้ด้วย มีน้องหมาจำนวนมากที่ตายโดยที่เจ้าของคิดว่าไปไม่นานและเป็นสาเหตุที่ใหญ่ สุดที่เจอบ่อยที่สุด
การให้อาหารในตอนเย็นต้องให้หลังจากแดดร่มแล้วหรือยืดเวลาออกไปให้หลังพระอาทิตย์ตก เนื่องจากน้องหมาจะไม่กินอาหารหากอากาศร้อน
อาบน้ำให้หรือราดน้ำให้ทั่วและเช็ดตัวให้หมาดๆ ปล่อยให้แห้งเองโดยไม่ต้องไดร์
อาจใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำหมาดๆปูให้นอนในช่วงกลางวัน แต่ต้องเอาออกในช่วงกลางคืนป้องกันปอดบวม
ใช้พัดลมเป่าหรือให้อยู่ในห้องแอร์เลย
การที่น้อง หมาจะกลับมาหายดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าอวัยวะถูกทำลายลงไปมากน้อยเพียงไร ดังนั้นเราควรป้องกันไว้ก่อนที่จะเกิดอาการเช่นนี้ เพราะไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่า “กันไว้ดีกว่าแก้”
ไฮเปอร์เทอเมีย Hyperthermia หรือ ฮีทสโตรก Heat Stroke
คืออาการที่อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น เนื่องจากร่างกายได้รับความร้อนจากภายนอกมากขึ้น หรือเนื่องจากร่างกายเกิดความร้อนภายในมากขึ้น หรือเนื่องจากการระบายความร้อนออกจากร่างกายน้อยลง สาเหตุ
- สาเหตุสำคัญก็คือการที่อากาศภายนอกร้อนจัดเป็นเวลานาน
- เกิดจากให้สัตว์ออกกำลังกายมากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อขณะมีความชื้นในอากาศสูง
- สัตว์อ้วนเกินไป
- สัตว์มีขนดก หนา และจำเป็นต้องอยู่ในที่ที่การระบายอากาศไม่ดีพอ เช่น การขนส่งสัตว์โดยทางเรือ
- เนื่องจาก Dehydration ซึ่งทำให้การระบายอากาศโดยการระเหยของน้ำในเนื้อเยื่อต่างๆ ลดลง
- การให้ยาสงบประสาท กับสัตว์ในขณะที่มีอากาศร้อน จะทำให้เกิด ไฮเปอร์เทอร์เมียได้ Metabolic rate จะสูงขึ้นประมาณ 40-50% Glycogen ที่เก็บสะสมไว้ในตับจะถูกนำมาใช้ไปอย่างรวดเร็ว และพลังงานพิเศษของร่างกายจะได้มาจากการเพิ่ม Protein metabolism สูงขึ้น เนื่องจาก Hyperthermia ทำให้สัตว์ปากแห้ง และการทำงานของระบบการหายใจผิดไป จึงทำให้เกิดการเบื่ออาหาร ซึ่งมีผลทำให้น้ำหนักตัวลดลง และกล้ามเนื้อขาดพลัง เกิดภาวะ hypoglycemia และ non-protein nitrogen ในเลือดสูง
สัตว์จะกระหายน้ำเนื่องจากปากแห้ง อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้นเนื่องจากอุณหภูมิของเลือดสูงขึ้น และเนื่องจากความดันเลือดตกอันเป็นผลมาจากการขยายตัวของเส้นเลือดส่วนปลาย อัตราการหายใจสูงขึ้นเนื่องจากการที่อุณหภูมิสูงขึ้นจะไปมีผลต่อ respiratory centre ปัสสาวะจะลดน้อยลงเนื่องจากจำนวนเลือดที่ผ่านไตน้อยลง อันเป็นผลสือเนื่องมาจากการขยายตัวของเส้นเลือดส่วนปลาย
เมื่อเกิด Hyperthermia ถึงขั้นอันตรายสูงสุด จะมีผลคือระบบประสาทจะถึงขั้นอันตรายสูงสุด จะมีผลคือระบบประสาทจะถูกกดการทำหน้าที่ตามปกติของมัน และระบบการหายใจก็จะถูกกดเช่นเดียวกันอันเป็นผลทำให้สัตว์ตาย เนื่องจากกการล้มเหลวของระบบการหายใจ ระบบการไหลเวียนของเลือดก็จะล้มเหลวเช่นกัน เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนกำลำง ถ้าภาวะ Hyperthermia ไม่สูง และนานเกินไปก็จะมีผลกระทบกระเทือนต่อ metabolism ภายในร่างกายเท่านั้น และมักจะเกิด degenerative changes ของเนื้อเยื่อต่างๆ ด้วย อาการ
อาการที่สัตว์แสดงให้เห็นในระยะแรกๆ ก็คืออุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นกว่าปกติ อัตราการเต้นของหัวใจ และการหายใจจะเพิ่มขึ้น ชีพจรอ่อนลง ในระยะแรกจะมีเหงื่อออกมาก แต่ระยะต่อไปจะไม่มีเหงื่อออกมาเลย น้ำลายไหล กระวนกระวายต่อมาก็จะเริ่มซึม เดินโซเซ ในระยะแรกสัตว์จะกระหายน้ำจัด และจะพยายามอยู่ในที่เย็น เช่นนอนแช่น้ำ ต่อมาเมื่ออุณหภูมิของร่างกายสูงถึง 106 F. จะถึงขั้นหายใจหอบ ต่อจากนั้นจะหายใจตื้นไม่เป็นจังหวะ ชีพจรเร็วมาก และอ่อน สุดท้ายถึงขั้น collapse ชัก และโคม่า ส่วนมากสัตว์ทุกชนิดตายเมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงถึง 107-109 F. ส่วนสัตว์ท้องอาจจะแท้งได้ถ้าระยะเวลาที่เกิด Hyperthermia นาน
การวินิจฉัยโรค
ต้องแยกให้ออกระหว่าง Hyperthermia กับ อาการไข้ และโลหิตเป็นพิษ (Septicemia) สำหรับโลหิตเป็นพิษจะพบมีจุดเลือดออกที่ muscous membrane และบางครั้งพบที่ผิวหนังด้วย และในการเพาะเชื้ออาจจะพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคนอกจากนี้การตรวจ และสังเกตสิ่งแวดล้อมมีส่วนช่วยอย่างมากในการหาสาเหตุของ Hyperthermiaการรักษา
ใช้วิธีประคบเย็น(cold applications) จะได้ผลดีนอกจากนี้การให้ยาพวกซาลิซีเอท (Salicyate) เช่น แอสไพริน ก็ช่วยได้มากในกรณีเช่นนี้ โดยให้กินสำหรับม้า และโคให้ในขนาด 8-60 กรัม สุกร 1-3 กรัม สุนัข 0.3-1 กรัม นอกจากนี้ควรให้ยาสยบประสาท (Tranqulizing drugs) เช่น Largactil (chlorpromazine hydrochloride) เพื่อระงับอาการกระวนกระวาย นอกจากนั้นควรให้ยาช่วยประกอบการรักษาด้วย เช่นการฉีดกลูโคส และโปรตีน และให้สัตว์ป่วยอยู่ในที่ร่ม มีการระบายอากาศดี มีน้ำให้กินเพียงพอ
**ที่มา:www.hamsteronline.com

ลำดับไอคิวสุนัข

ลำดับไอคิวสุนัข


มาดูลำดับไอคิวสุนัขกันนะครับ
ในความเฉลียวฉลาดหรือที่เรียกว่าไอคิวของสุนัขหรือนั้นกล่าวกันว่ามีสติ ปัญญาเทียบเท่ากับเด็กอายุกว่าสิบขวบเลยทีเดียว เชื่อกันว่าเค้าก็ฝันได้เหมือนคนเหมือนกัน ตอนนี้เค้าก็อาจกำลังฝันหวานถึงเราหรือฝันน้ำลายยืดว่ากำลังแทะกระดูกชิ้นโต อยู่ก็ได้นะ แล้วสังเกตุมั้ยว่าบางครั้งเค้าก็ยิ้มให้เรา
ความน่ารักและนิสัยของเค้านั้นก็มีความแตกต่างกันไปในแต่ละสายพันธุ์ ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะที่ได้มาจากปู่ย่าตาทวดที่สืบทอดกันมา บางสายพันธุ์ก็อาจสอนให้ทำอะไรได้หลายอย่างหรือยากง่ายแตกต่างกันไป ซึ่งก็เป็นความสามารถเฉพาะตัวกันไป อย่างเช่นเจ้าโกลเดนนี่แทบไม่ต้องสอนก็วิ่งไปเก็บของมาให้เราได้แล้ว บางตัวก็ดื้อแสนดื้อกันจังก็เพราะสัญชาติญาณสัตว์ป่าของเค้านั่นเอง
ดร.สแตนเลย์ โคเรนท์ แห่งมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย ในแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ได้จัดอันดับไอคิวสุนัขตามความสามารถในการเรียนรู้จากการฝึก ส่วนพันธุ์ต่างๆนั้นมีหน้าตาอย่างไรก็ลองคลิ๊กไปดูจากลิ้งหมาพันธุ์ต่างๆ ซ้ายมือกันเอาเองนะ เจ้าโกลเดนหรือสุนัขของคุณจะอยู่อันดับไหนบ้าง ลองไปดูกันดีกว่า
1. บอเดอร์ คอลลี่
2. พุดเดิล
3. เยอรมัน เชฟเฟอร์ด
4. โกลเด้น รีทรีฟเวอร์
5. โดเบอร์แมน
6. เชทแลนด์ ชีพด็อก
7. ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์
8. ปาปิยอง
9. ร็อตไวเลอร์
10. ออสเตรเลี่ยน แคทเทิลด็อก
11. เวลช์คอร์กี้
12. มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์
13. อิงลิช สปริงเกอร์ สแปเนียล
14. เบลเจียนเทอร์เชน
15. เบลเจียนชีพด็อก
16. คอลลี่ คีชอนด์
17. เยอรมัน ชอร์ทแฮร์ พอยเตอร์
18. อิงลิชค็อกเกอร์ สแปเนียล,
19. สแตนดาร์ด ชเนาเซอร์
20. บริตตานี สแปเนียล
21. คอกเกอร์ สแปเนียล
22. ไวมาราเนอร์
23. เบลเจียน มาลิโนส์,
24. เปอร์นีส เมาน์เทนด็อก
25. ปอมเมอเรเนียน
26. ไอรีสวอเตอร์ สแปเนียล
27. วิสซิลล่า
28. คอร์ดิแกน เวลช์ คอร์กี้
29. พูลิ
30. ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย
31. ไจแอนท์ ชเนาเซอร์
32. แอร์เดล
33. บอเดอร์ เทอร์เรีย
34. เวลช์ สปริงเกอร์ สแปเนียล
35. แมนเชสเตอร์ เทอร์เรีย
36. เวลช์ สปริงเกอร์ สแปเนียล
37. ฟิลด์ สแปเนียล,
38. นิวฟาวแลนด์,
39. ออสเตรเลียน เทอร์เรีย,
40. เบียร์เด็ด คอลลี่
41. ไอริส เซทเตอร์
42. นอร์วีเจียน เอลค์ฮาวด์
43. ซิลกี้ เทอร์เรีย,
44. มินิเอเจอร์ พินช์เชอร์
45. นอร์วิด เทอร์เรียล
46. ดัลเมเชียน
47. ฟ็อก เทอร์เรีย
48. ไอริช วูล์ฟฮาวด์
49. ออสเตรเลียน เชฟเฟอร์ด
50. ซาลูกิ,
51. ฟินนิช สปิทซ์,
52. พอยเตอร์
53. อเมริกัน วอเตอร์ สแปเนียล
54. ไซบีเรียน ฮัสกี้
55. อิงลิช ฟ็อกซ์ฮาวด์,
56. อเมริกัน ฟ็อกซ์ฮาวด์,
57. เกรย์ฮาวด์
58. สก็อตติช เดียฮาวด์
59. บ็อกเซอร์,
60. เกรทเดน
61. ดัชชุนต์
62. อาลาสก้า มาลามุท
63. วิพเพท
64. โรดีเชียน ริดจ์แบ็ค
65. ไอริช เทอร์เรีย
66. บอสตัน เทอร์เรีย,
67. อากิตะ
68. สกาย เทอร์เรีย
69. นอร์โฟล์ค เทอร์เรีย
70. ปั๊ก
71. เฟรนช์บูลด็อก
72. มอลทีส เทอร์เรีย
73. อิตาเลียน เกรย์ฮาวด์
74. ไชนีส เครสเต็ด
75. เจแปนนีส ชิน
76. โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก
77. เกรท พิเรนี
78. สก็อตติช เทอร์เรีย,
79. เซนต์เบอร์นาร์ด
80. บูล เทอร์เรีย
81. ชิวาว่า
82. ลาซา แอปโซ
83. มาสทิฟฟ์
84. ชิสุ
85. บาสเซท ฮาวด์
86. บีเกิล
87. ปักกิ่ง
88. บลัดฮาวด์
89. บอร์ซอย
90. เชาเชา
91. บูลด็อก
92. บาเซนจิ
93. อาฟกัน ฮาวด์

**ที่มา http://www.mylovegolden.com/mcontents/marticle.php?headtitle=mcontents&id=67338&Ntype=1

ความรู้เกี่ยวกับสุนัข

ความรู้เกี่ยวกับสุนัข


                      สุนัข เป็นสัตว์ที่ชอบไล่ล่า มีความพยายาม อดทน เฉลียวฉลาด โดยธรรมชาติ สุนัขเป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม สังเกตได้จากสุนัขป่านิยมอยู่รวมกันเป็นฝูง มีการแบ่งหน้าที่กันเลี้ยงลูกอ่อน และออกล่าเหยื่อเป็นอาหาร เมื่อมนุษย์นำมาสุนัขป่ามาเลี้ยง พฤติกรรมบางอย่างของสุนัขป่าจึงเปลี่ยนไป
การเคลื่อนไหวสุนัขบางพันธุ์สามารถวิ่งได้เร็วมาก เช่น หมาป่า ที่วิ่งได้ความเร็ว 56 ก.ม./ช.ม. สะลูกี้ และเกรย์ฮาว์น วิ่งได้เร็วถึง 70 ก.ม./ช.ม. แม้ว่าสุนัขจะวิ่งได้ไม่เร็วมากเหมือนเสือชีต้า (วิ่งได้ถึง 129 ก.ม./ช.ม.) แต่สุนัขมีลักษณะพิเศษที่ มีความอดทนสูงกว่า มันสามารถวิ่งติดต่อกันเป็นระยะทางไกลๆ เพื่อล่าเหยื่อ นอกจากนี้ สุนัขยังว่ายน้ำได้ดี โดยใช้ขากวักไปมาในน้ำ เช่น สุนัขป่าแรคคูนในจีน ญี่ปุ่น และไซบีเรีย ที่สามารถว่ายน้ำ และดำน้ำล่าเหยื่อได้เป็นเวลา หลายนาที
การดมกลิ่น ความสามารถในการดมกลิ่นของสุนัขถือได้ว่าดีเยี่ยม (จะเป็นรองก็แค่ปลาไหลเท่านั้นแหละ) แต่ความสามารถที่ว่านี้จะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ แต่ก็ดีกว่ามนุษย์ถึงล้านเท่าทีเดียว จึงไม่น่าแปลกใจที่มนุษย์จะนำความสามารถนี้มาใช้ประโยชน์นับไม่ถ้วน เช่น ในฝรั่งเศส และอิตาลีใช้สุนัขในการค้นหาเห็ด Truffle ที่อยู่ลึกลงไปในดินถึง 30 ซม. ฮอลแลนด์ และเดนมาร์คใช้สุนัขในการค้นหาแก๊สรั่ว นอกจากนี้ ยังใช้สุนัขในการค้นหาวัตถุระเบิด ยาเสพติด และคนหายอีกด้วย สุนัขทำได้อย่างไร เราลองมาดูกัน องค์ประกอบของกลิ่นต่างๆ คือ โมเลกุลของสารเคมี ที่ล่องลอยในอากาศ สุนัขจะได้กลิ่นโดยผ่านทางเนื้อเยื่อภายในจมูก และเนื้อเยื่อ ก็จะส่งข้อมูลของกลิ่นนี้ไปยังสมอง สุนัขได้ พัฒนาทักษะในการดมกลิ่นมายาวนานมาก ว่ากันว่า พื้นที่การดมกลิ่นในจมูกของมนุษย์ ผู้ใหญ่มีประมาณ 3 ตร. ซม. แต่ของสุนัข เฉลี่ยแล้วมีถึง 130 ตร. ซม. ทีเดียว นอกจากนี้ สุนัขยังมีเส้นประสาทดมกลิ่นมากกว่ามนุษย์มาก คือ มนุษย์มีเส้นประสาทดังกล่าว 5 ล้านเซล แต่ดัชชุนมีถึง 125 ล้านเซล ฟ็อกซ์เทอร์เรีย มี 147 ล้านเซล เยอรมันเชพเพิร์ดมี 220 ล้านเซล จมูกที่เปียกยังช่วยให้การดมกลิ่นดีขึ้น คือ มันจะช่วยซึมซับกลิ่นที่ล่องลอยในอากาศ และส่งต่อไปยังเนื้อเยื่อรับกลิ่นภายในจมูก และไล่กลิ่นเดิมที่ตกค้างอยู่ออก
การได้ยิน
เป็นอีกสิ่งหนึ่งสุนัขทำได้ดีกว่ามนุษย์ สุนัขส่วนใหญ่มีหูใหญ่ ที่ประกอบไปด้วย กล้ามเนื้อถึง 17 มัด และสามารถบิดหูไปมาเพื่อรับคลื่นเสียงให้ตรงกับแหล่งที่มาได้ โดยมันสามารถ รับคลื่นเสียงได้ถึง 35,000 Vibration ต่อวินาที เทียบกับมนุษย์ที่ 20,000 ต่อวินาที และแมว 25,000 ต่อวินาที นอกจากนี้ มันยังสามารถแยกความแตกต่างระหว่างเสียงต่างๆ ได้ด้วย แต่ที่พิเศษยิ่งไปกว่านี้ คือ มันสามารถปิดหูชั้นใน เพื่อที่จะกรองเสียงภายนอกอื่นๆ ที่ไม่ต้องการออกไป เหลือไว้แต่เสียงที่ต้องการเท่านั้น
การมองเห็น สุนัขสายตาไม่ดีนัก ส่วนใหญ่จึงใช้การดมกลิ่นในการล่าสัตว์มากกว่าสายตา แต่ก็มีสุนัขบางพันธุ์ที่ได้พัฒนาความสามารถในการมองเห็น จนสามารถใช้สายตา ในการล่าสัตว์ได้ เช่น เกรย์ฮาว์น เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม สุนัขไม่สามารถมองเห็นภาพสี ภาพที่มันมองเห็นจะเป็นโทนสีขาว ดำ และเทา เท่านั้น
นอกจากนี้ สุนัขยังมีประสาทสัมผัสพิเศษอีกอย่างหนึ่ง ที่เราเรียกว่า “ประสาทสัมผัสที่ 6″ สุนัขมีความสามารถในการรับรู้เกี่ยวกับวิญญาณ และโทรจิต จึงไม่แปลกที่สุนัขมักจะทราบล่วงหน้า ก่อนที่คุณจะตัดสินใจออกไปข้างนอก และปล่อยให้มันอยู่บ้านตามลำพัง
ที่มา: www.lovedog.gointer.com

เมนูต้องห้ามของสุนัขที่คนรักสัตว์ควรรู้

เมนูต้องห้ามของสุนัขที่คนรักสัตว์ควรรู้


          อาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สุนัขของคุณมีสุขภาพร่างกาย แข็งแรง และมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มีอายุยืนยาว ดังนั้นการให้อาหารแก่สุนัข ผู้เลี้ยงจึงจำเป็นต้องพิถีพิถันอยู่บ้าง ผู้เลี้ยงหลายคนนิยมให้อาหารสำเร็จรูป เพราะสะดวกสบายไม่ต้องเสียเวลาในการเตรียมอาหารสดให้ ยุ่งยาก เพราะกว่าจะครบถ้วนด้วยสารอาหารก็จะต้องมีทั้ง ข้าว ตับ และผัก การใช้อาหารเม็ด หรืออาหารกระป๋องดูจะง่ายและให้สารอาหารแก่สุนัขอย่างครบถ้วนมากกว่า อีกทั้งอุจจาระของสุนัขยังแข็งเป็นก้อนง่ายต่อการเก็บทำความสะอาดอีกด้วย
แต่ก็มีผู้เลี้ยงบางกลุ่มนิยมให้อาหารสุนัขตามแต่ความต้อง การของตนเอง โดยผู้เลี้ยงเข้าใจผิดว่า สุนัขมีความต้องการ และความสามารถในการกินได้เช่นเดียวกับคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความคิดที่ผิด อาหารที่คุณให้อาจย้อนกลับมาทำอันตรายถึงชีวิตแก่สุนัขแสนรักของคุณได้
อาหารต้องห้าม 3 อย่างของสุนัข ที่ผู้เลี้ยงควรหลีกเลี่ยงไม่นำมาให้สุนัขกินได้แก่
กระดูกไก่ ปลาหากไม่จำเป็นคุณไม่ควรให้กระดูกไก่ ปลา ให้เจ้าสุนัขของคุณกินโดยเด็ดขาด แม้ว่าเจ้าสุนัขของคุณจะชื่นชอบอาหารเหล่านี้เพียงใด เพราะ กระดูกไก่ ก้างปลา อาจแตกหักระหว่างที่สุนัขขบเคี้ยวสร้างมุมแหลม และความแหลมนี่เองอาจทิ่มแทงทำอันตรายสุนัขของคุณได้ ผู้เลี้ยงหลายคนให้เหตุผลในการให้อาหารเหล่านี้แก่สุ นัขว่า ต้องการให้แคลเซียมแก่สุนัข ซึ่งความจริงแล้วผู้เลี้ยงสามารถให้เม็ดแคลเซียม หรือนมอุ่นๆแก่สุนัขแทนได้
ทั้งนี้หมายรวมถึงอาหารที่มีลักษณะเป็นของมีคมขนาดเล ็กอื่นๆ เช่น ส่วนหางของกุ้ง เพื่อนของผู้เขียนเคยสูญเสียสุนัขจากกรณีดังกล่าวมาแ ล้ว เนื่องจากไปเที่ยวทะเลซื้ออาหารทะเลมารับประทานที่บ้ าน พอเหลือก็นำมาให้สุนัขกินอย่างไม่รู้เท่าทัน ผลปรากฏว่าสุนัขกินส่วนหางของกุ้งเข้าไปติดคอเสียชีวิต
หัวหอมและกระเทียม ไม่ควรให้สุนัขรับประทานในปริมาณมาก เพราะหัวหอมและกระเทียม มีส่วนประกอบของกำมะถันอยู่มาก เพราะฉะนั้นไม่เหมาะแก่การผสมในอาหารให้กับเจ้าตูบ เนื่องจากว่า สารกำมะถันนี้จะทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงของเจ้าสุนัข จะทำให้โรคโลหิตจาง และโรคเลือดไหลไม่หยุดได้
ช็อคโกแลต หลายคนเคยให้ช็อคโกแลตกับสัตว์เลี้ยงของท่าน โดยไม่รู้ว่าช็อคโกแลตเหล่านี้ส่งผลร้ายต่อสุนัข สาเหตุเพราะช็อคโกแลตมีส่วนประกอบของสารชนิดหนึ่งชื่ อว่า theobromine ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับ สารพวก caffeine(ซึ่งมีในพวกกาแฟ โกโก้) สาร theobromine นี้เมื่ออยู่ในร่างกายมันจะมีฤทธิ์หลายอย่าง แต่ที่เห็นเด่นๆชัด คือ จะกระตุ้นให้มีการหลั่งสารที่เรียกกันว่า adrenaline ซึ่งสารตัวนี้จะมีผลทำให้หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก ถ้ากินมากๆอาจถึงขั้นเป็นพิษได้จะทำให้เกิด อาการ อาเจียน ท้องเสีย หายใจถี่ ฉี่บ่อย กระวนกระวาย และในที่สุดก็ถึงตายได้ มีรายงานในสุนัขบอกว่า ในสุนัขที่น้ำหนักไม่เกิน 5 กก. กินเข้าไปแค่ 400 มก. ก็สามารถแสดงความเป็นพิษได้ การที่สุนัขค่อนข้างจะไวต่อความเป็นพิษของ theobromine นั้นเป็นเพราะว่าร่างกายของมันไม่สามารถที่จะกำจัด theobromine ออกจากร่างกายได้รวดเร็วเหมือนกับสัตว์ชนิดอื่น ตามปกติช็อคโกแลตที่ขายในท้องตลาด ถ้าเป็นแบบหวานจะมี theobromine อยู่ประมาณ 1.5 มก ต่อ ซีซี แต่ถ้าเป็นแบบไม่หวานจะมีประมาณ 13 มก. ต่อ ซีซี

ที่มา: http://www.bloggang.com/

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

โรคและการป้องกันรักษาในสุนัข

โรคและการป้องกันรักษาในสุนัข

ปัญหาสำคัญที่เจ้าของละเลยไม่ได้ คือการเกิดโรคเจ็บไข้ได้ป่วยของสุนัข ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยแกตัวสุนัข เจ้าของ หรือคนใกล้ชิด เพราะโรคสามารถติดต่อสู่คนได้ คสรป้องกันอย่าให้เกิดโรคจะดีกว่าเกิดโรคแล้วนำไปรักษา บุคคลที่จะช่วยเราได้ในเรื่องนี้คือสัตวแพทย์ตามคลีนิครักษาสัตว์ ผู้เลี้ยงสุนัขต้องติดต่อสัตวแพทย์และคลีนิคสัตว์ประจำไว้ด้วยเสมอ อย่างไรก็ตาม เจ้าของสุนัขต้องหมั่นเอาใจใส่สิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้ด้วย
  1. จดวันเกิดของสุนัขไว้ จะได้ทราบถึงอายุสุนัข มีประโยชน์ในการกำหนดโปรแกรมการฉีดวัคซีน เช่น วัคซีนป้องกันโรคไข้หัดสุนัขและโรคลำไส้อักเสษติดต่อ ซึ่งฉีดครั้งแรกเมื่ออายุ 6-8 สัปดาห์ โรคพิษสุนัขบ้าฉีดวัคซีนเมื่ออายุ 3 เดือน โรคลำไส้อักเสษติดต่อร้ายแรง ซึ่งทำให้ลูกสุนัขที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน ตายอย่างเฉียบพลันได้
  2. ประวัติการฉีดวัคซีนของสุนัข ควรทำการบันทึกไว้ด้วย รวมทั้งสถานที่ฉีด ผู้ฉีด แหล่งที่มาของยา เวลามีปํญหาเกี่ยวกับโรคนั้น ๆ สามารถตรวจสอบกลับได้ ถ้ามีคลีนิคประจำยิ่งดีเขาจะมีบันทึกต่างๆ ไว้
  3. ให้ความเอาใจใส่ในท่าทางและสังเกต พฤติกรรมของสุนัขทุกวัน ถ้าเกิดอาการผิดปกติก็จะรู้ได้ทันที ควรจะรีบนำไปหาสัตวแพทย์ ไม่ควรปล่อยให้สัตว์ป่วยมากแล้วจึงพาไป จะทำให้การรักษายากยิ่งขึ้น
  4. ในการพาสุนัขไปหาสัตวแพทย์ ควรจะให้คนเลี้ยงหรือผู้ใกล้ชิดสุนัขเป็นผู้พาไป เพื่อจะได้ให้ข้อมูลที่ละเอียดและมีประโยชน์ต่อการวินิจฉัยโรค ในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ต้องให้คนอื่นพาไป ควรจะโน๊ตบอกรายละเอียดเกี่ยวกับสัตว์และอาการต่าง ๆ ฝากไปด้วย
  5. สุนัขตัวเมียจะต้องทำการบันทึกไว้ด้วย ว่าเป็นสัดเมื่อไหร่ เพราะมีหลายรายที่ไปคลีนิคเพื่อฉีกฮอร์โทนคุมกำเนิด แล้วเจ้าของจำเวลาที่สุนัขเป็นสัดไม่ได้ หมอมักจะไม่ค่อยฉีดยาให้
  6. เจ้าของสุนัขต้องเล่าประวัติอาการที่ ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุดบอกอาการทุกอย่างที่พบ เคยมีการให้ยาอื่นมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเคยแพ้ยาชนิดไหนบ้าง กินยาเม็ดได้หรือเปล่า ถ้ากินไม่ได้หมอจะใช้ไปเลี่ยงยาอื่นแทน และขณะที่หมอกำลังตรวจ เช่น วักปรอท ตรวจฟังเสียงปอด ตรวจฟังการเต้นของหัวใจ ฉีดยา เจ้าของควรเป็นผู้ช่วย คอยจับและบังคับสุนัขของตนเพื่อให้หมอตรวจได้ง่ายขึ้น
  7. หลังจากที่พากลับมาบ้าน ก็ต้องทำตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด เช่น เมื่อไปฉีดวัคซีนมาต้องงดอาบน้ำ 7 วัน เพราะสัตว์อาจมีไข้เล็กน้อยจากปฏิกิริยาต่อวัคซีน หรือยาที่หมอสั่งให้มาป้อนสัตว์กิน ก็ให้กินตามเวลา เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าหมอนัดให้ไปพบในวันต่อไปก็ต้องไปพบตามนัด เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง หรือกำจัดสาเหตของโรคให้เป็นไปอย่างเด็ดขาด ยาพวกปฏิชีวนะต้องให้สุนัขกินตามกำหนด (ให้หมด) ที่สัตวแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นจะเกิดอาการดื้อยาได้
นอกจากนี้ ควรนำสุนัขที่แม้ไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรเลยไปตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนตามกำหนด ทุก ๆปีหรือต ามคำแนะนำ สุนัขเป็นโรคก็เหมือนคนเป็นโรคที่ต้องการการเยียวยาให้หายขาด เป็นหน้าที่ที่เจ้าของจะต้องกระทำเมื่อเราเอามันมาเลี้ยง ความผูกพันต่าง ๆ ย่อมเกิดขึ้นเสมือนสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว
หากสุนัขได้รับการ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ตามกำหนด สุนัขก็จะปลอดภัยจากเชื้อโรคทั้งหลายได้มากทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าสุนัขไม่ได้ฉีดวัคซีนในบางโอกาส ซึ่งบางครั้งก็มีไวรัสบางตัวทำให้เป็นโรคได้ เพราะคุณไม่ได้นำสุนัขไปฉัดวัคซีน นอกจากนี้ ยังมีพยาธิภายในและภายนอก
ดีสเทมเปอร์เชื้อที่มีความรุนแรงสำหรับสุนัขก็คือ ดีสเทมเปอร์ ลูกสุนัขหรือสุนัขที่ยังเล็กอยู่จะเป็นโรคนี้ได้ง่ายมาก แต่มันก็สามารถเกิดได้กับสุนัขทุกวัยสุนัขจะเบื่ออาหาร ตาตก สั่น และจับไข้ มีน้ำมูกน้ำตาไหล ถ้าหากไม่รีบรักษาโดยด่วน โรคก็จะลามไปถึงปอดลำไส้ และระบบปราสาท อาจทำให้สุนัขเป็นอัมพาต ชักกระตุก หรือมีผลข้างเคียงอย่างอื่น แต่ปกติแล้วจะมีอาการชักกระตุก การป้องกันที่ดีที่สุดคือฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่อายุน้อย ๆ เป็นการฉีดป้องกันโรคในระยะยาว และซ้ำอีกปีทีละครั้งต่อมา
ตับอักเสษรายงานจากสัตวแพทย์บ่งว่า การแพร่เชื้อของไวรัสมีจำนวนมากขึ้นในหลายปีมานี้ โดยทั่วไปแล้วสุนัขที่ยังเล็กอยู่จะเป็นเหยื่อของโรคนี้ อาการที่เห็นได้ชัดคือ ง่วงซึม อาเจียน อยากน้ำอย่างแรง เบื่ออาหาร และอุณหภูมิสูง อาการฝกล้เคียงกับดีสเทมเปอร์มาก อาการที่อาจเกิดได้ร่วมกับอาการดังกล่าวคือ หัว ลำคอ และท้องบวม เชื้อโรคนี้จะแพร่เร็วมาก อาจตายได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง การป้องกันก็คือ ฉีดวัคซีนป้องกันแต่เนิ่น ๆ
ลำไส้อักเสษโรคนี้ตัวเชื้อโรคคือแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อยู่ในน้ำนิ่ง หรือน้ำที่ไหลช้าๆ ตังที่เป็นพาหนะก็คือหนูและสุนัข การแพร่เกิดได้โดยที่สุนัขไปเลียน้ำที่มีปัสสาวะหรืออุจาระที่มีเชื้อโรคนี้ อยู่ อาการที่พบคือ ท้องร่วง หนกรรไกร ลิ้นและฟันจะมีสีเหลืองออกน้ำตาล เพราะไตเกิดอาการร้อนอย่างรุนแรง
โรคนี้สามารถรักษาได้ถ้ารู้ทันเวลา แต่การฉีดวัคซีนป้องกันจะเป็นการดีที่สุด ซึ่งสัตวแพทย์จะฉีดวัคซีนชนิดนี้ควบคู่กับดีสเทมเปอร์

โรคพิษสุนัขบ้าโรคนี้เป็นโรคที่ทำลายระบบประสาทส่วนกลางอย่างแรง การแพร่เชื้อเกิดจากน้ำลายที่มีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย โดยการถูกกัดจากสัตว์ที่เป็นพาหนะโรคสุนัขบ้ารู้จักกับแพร่หลายอยู่ 2 ลักษณะ ลักษณะแรกคือแบบโมโหร้าย ซึ่งสุนัขจะแสดงอาการเริ่มแรกคือ โศรกเศร้าหรือตาตก มีอาการผิดไปจนกระทั่งเป็นอัมพาต ช่วงระยะแรกกินเวลาจาก 2 ชั่วโมงถึงหลายวัน ระหว่างระยะนี้สุนัขจะงุ่นง่านและจะลุกไปมาอยู้เรื่อย ๆ มันจะเบื่ออาหารแล้วจะเริ่มเลียก้นหรือกลืนอะไรแปลก ๆ ช่วงที่มีอาการรุนแรงสุนัขจะตัวสั่น ดุร้าย และจะถูกกระตุ้นไให้วิ่งไปมาตลอด มันจะมีอาการเหมือนกลัวทุกอย่าง และจะวิ่งเข้ากัดทุกอย่างที่ขวางหน้า ถ้ามันถูกขังกรงหรืคอก มันจะกัดลูกกรงบางทีถึงฟันหักหรือขากรรไกรแตก เสียงเห่าจะฟังเหมือนหอนโหยหวน ในขั้นสุดท้ายหรือขั้นอัมพาต น้ำมูกน้ำลายจะไหลออกจากปากและจมูก ในช่วง 4-8 วัน หลังจากเป็นอัมพาต สุนัขจะตาย ลักษณะที่สองของอาการคือพิษสุนัขบ้าแบบเซื่องซึม อาการจะเริ่มจากสุนัขเดินคล้ายหมี หัวตก ขากรรไกรล่างเป็นอัมพาต และไม่สามารถกัดได้ลักษณะภายนอกดูคล้ายกับว่ามันมีกระดูกติดอยู่ในลำคอ แม้สุนัขของคุณจะถูกสุนัขบ้าหรือสัตว์อื่นกัด มันก็อาจจะรอดชีวิตได้ ถ้าพาไปหาสัตวแพทย์ทันที่จะฉีดยา อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีอาการแสดงออกแล้วก็จะไม่มีวิธีใดรักษาได้ แต่จำไว้ว่าวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าสามารถป้องกันได้อย่างแน่นอน ถ้าคุณสงสัยว่าสุนัขของคุณจะเป็นโรคนี้ ให้รีบแจ้งอนามัยหรือศูนย์สุขภาพใด ๆ ใกล้บ้าน เพราะโรคสุนัขบ้า เป็นโรคอันตรายมากกับทุกสิ่งที่อยู่ใกล้ไม่ว่าคนหรือสัตว์
โรคลำไส้อักเสษจากไวรัสโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งแพร่ได้ง่าย ๆ จากซากสุนัขที่เป็นโรคและโรคนี้เคยระบาดในส่วนหนึ่งของอเมริกา มันเริ่มในแคนาดา ออสเตรีย และยุโรป โรคนี้จะเข้าไปทำลายบริเวณที่เกี่ยวกับลำไส้และระบบการย่อย เซลล์เม็ดเลือดขาวและกล้ามเนื้อหัวใจจะน้อยลง เชื่อกันว่าการแพร่เชื้อเป็นการติดต่อระหว่างสุนัขกับสุนัข แหล่งที่เพาะเชื้อโรคนี้คืออุจจาระหรืซากสัตว์ที่ป่วย ซึ่งเป็นโรคที่ควบคุมยาก ปริมาณการติดต่อของโรคนี้ติดต่อได้ง่ายมาก จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งโดยอาจติดขนหรือเท้าของพาหนะ อาจติดต่อได้จากกรงที่มีเชื้อโรค รองเท้าและอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการระบาดของโรคนี้ในสุนัชก็ไม่สามารถติดต่อไปยังสัตว์อื่นหรือมนุษย์ ได้ อาการที่เห็นได้ชัดคือ การอาเจียนและท้องร่วงอย่างแรง ซึ่งจะปรากฏภายใน 5-7 วันหลังจากได้รับไวรัสตัวนี้ เมื่ออาการป่วยเริ่มโจมตี อุจจาระจะมีสีเทาอ่อนหรือเทาเหลือง บางโอกาสอุจจาระอาจมีเลือดปนออกมาเป็นสาย เนื่องจากโรคนี้มีอาการอาเจียนและท้องร่วงอย่างรุนแรง สุนัขที่ติดโรคจะสูญเสียน้ำอย่างเร็ว ตาาตกและเบื่ออาหารก็อาจเป็นอาการร่วมด้วย โดยมรอุณหภูมิสูงขึ้นโดนเฉพาะถ้าเป็นสุนัขที่เล็ก ๆ อุณหภูมิจะขึ้น 104-106 องศาฟาเรนไฮด์สุนัขที่มีอายุมากจะไม่ค่อยทรมานจากอุณหภูมิที่สูงนี้สักเท่า ไหร่ โรคนี้จะทำให้ตายได้เพียง 2-3% ของจำนวนที่ป่วย โรคนี้อาจทำให้ตายได้ภายใน 48-72 ชั่วโมง หลังแสดงอาการ ลูกสุนัขจะตายง่ายกว่าถึง 75% ของที่ได้รับเชื้อ มันอาจตายได้ภายใน 2 วัน หลังจากที่อาการป่วยเริ่มมากขึ้น
มาตราการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ ให้สุนัขได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคจากสัตวแพทย์ ปรึกษาหมอเกี่ยวกับระยะเวลาที่ต้องได้รับการฉีดวัคซีนและการมารับการป้องกัน โรคครั้งต่อไป มาตราการที่จะป้องกันต่อไปขึ้นอยู่กับเจ้าของสุนัขแต่ละคนที่จะป้องกันการ แพร่เชื้อจากคอกหรือพื้นที่ใกล้เคียงที่สุนัขอาศัยอยู่ เนื่องจากเชื้อโรคนี้แข็งแรงสามารถมีอายุอยู่ได้หลายเดือน จึงต้องมีการป้องกันอย่างเข้มงวดและจริงจัง ส่วนหนึ่งคือการใช้น้ำยาทำความสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรคผสมน้ำ 30 ส่วน ทำความสะอาดที่ต่าง ๆ จะได้ผลดี และดูแลสุนัขอย่าให้ไปยุ่งกับอุจจาระของสุนัขตัวอื่นเวลาออกไปเดินเล่นหรือ ออกกำลังกาย
ข้อมูลจาก: www.geocities.com

วิธีการเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ ชิสุห์

วิธีการเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ ชิสุห์

หมาท้องอาหารที่เลี้ยงหมาที่กำลังตั้งท้องนั้นจะต้องมีคุณภาพสูง โปรตีนมาก ไขมันน้อย ขนาดและปริมาณที่ให้ในระยะ 6 อาทิตย์แรกของการตั้งท้องพอ ๆ กับใช้เลี้ยงดูหมาใหญ่ หรือหมาโตเต็มวัย ในประจำวัน แต่เราจะเพิ่มปริมาณอาหารให้มากขึ้นตามน้ำหนักตัวหมาในระยะ 3 อาทิตย์สุดท้ายก่อนคลอดคือ เพิ่มอาหารให้ปริมาณ 15-20 % ของน้ำหนักตัวแม่หมา
ก่อนคลอด 1 – 2 วัน แม่หมาบางตัวมักไม่ค่อยกินอาหารหรือไม่กินเลย เพราะมัวแต่หาสถานที่คลอดลูก โดยเฉพาะแม่หมาสาวท้องแรก ฉะนั้นอย่าตกใจจนเกินไป หลังคลอดแล้วก็จะกินอาหารเอง ข้อพึงระวัง อย่าขุนมหาจนอ้วนเกินไปจนไม่มีแรงในการเบ่งคลอดลูก

หมาแม่ลูกอ่อนอาหารที่ใช้เลี้ยงหมาแม่ลูกอ่อนไม่ได้มีให้เฉพาะแม่หมาเท่านั้น มันต้องถ่ายทอดไปยังลูกหมาด้วย โดยการเปลี่ยนเป็นนม ฉะนั้นปริมาณอาหารที่แม่หมาจะกินต้องเพิ่มขึ้นโดยอาทิตย์แรกเพิ่มเท่าครึ่ง จากปกติ อาทิตย์ที่ 2 เป็น 2เท่า และอาทิตย์ที่ 3 เป็น 3 เท่า
สิ่งที่ต้องเสริมเพิ่มเติมแก่แม่หมาได้แก่ แร่ธาตุ คือ แคลเซียม และฟอสฟอรัส เพราะสิ่งเหล่านี้จะถูกแตกออกไปนมแม่สู่ลูก ๆ ของมันในขณะเดียวกัน แม่หมาจึงมีปริมาณแคลเซียมที่ลดลงด้วย จนถึงระดับที่เกิดขาดแร่ธาตุที่เราเรียกว่า ภาวะแคลเซียมต่ำ แม่หมาแสดงอาการชัก เกร็ง น้ำลายไหลยืด ตัวร้อนจัด ฝรั่งเรียกว่า Milk Fever หรือไข้น้ำนม เมื่อเจ้าของพาไปหาหมอ หมอจึงฉีดแคลเซียมให้ อาการจะทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ทางที่ดีควรมีการป้องกันไว้โดยการเพิ่มเติมแคลเซียมลงไปในอาหารแม่ลูก อ่อนตามคำแนะนำของหมอ พร้อมกับให้จากแหล่งอาหารธรรมชาติ คือ นม ซึ่งจะเป็นการป้องกันปัญหาดังกล่าวได้ดี

การเลี้ยงดูสุนัขขณะที่เป็นลูกสุนัขลูกหมาไทยที่จะนำมาเลี้ยงนั้นควรมีอายุ 2 เดือน หรือหย่านมแล้ว หรือถ้าโตกว่านี้ก็จะยิ่งเลี้ยงง่ายขึ้น เมื่อนำสุนัขเข้ามาอยู่ที่แห่งใหม่วันแรก ถ้าบ้านเลี้ยงสุนัขอยู่แล้วก็ควรให้สุนัขได้รู้จักกับสุนัขที่มีอยู่เดิมและ ให้สุนัขรู้จักสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างไปจากที่เดิม เพื่อให้คุ้นเคยกับที่อยู่ใหม่ เพราะนิสัยสุนัขจะอยากรู้อยากเห็นสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ มาก จึงควรปล่อยให้สุนัขเดินสำรวจสถานที่หรือสิ่งต่าง ๆ ตามลำพัง จะทำให้มันรู้สึกว่า สถานที่ใหม่เป็นสถานที่ที่อบอุ่นปลอดภัย ไม่น่ากลัวใด ๆ แต่สำหรับลุกสุนัขเล็ก ๆ บางตัวเมื่อเข้ามาอยู่ใหม่ จะมีปัญหาบ้าง เช่นมันจะหอนเพราะคิดถึงแม่และพี่น้องที่เคยเล่นกันมา เมื่อหิวก็หอน อาจทำให้รำคาญ เพราะหนวกหู วิธีการแก้ปัญหาลูกสุนัขหอน อาจนำสิ่งของที่ปูนอนในรังเก่าของลูกสุนัขมารองให้นอนในที่อยู่ใหม่ด้วย เพราะลูกสุนัขจะจำกลิ่นได้ และเข้าใจว่ายังอยู่ที่เดิม หรืออาจเลี้ยงสุนัข 2 ตัวอยู่ด้วยกัน เมื่อมีเพื่อนเล่นมันจะไม่เหงาและไม่ค่อยหอน
โดยทั่วไปลูกสุนัขตอนเล็ก ๆ นิสัยเหมือนเด็ก จะชอบนอน ตื่นขึ้นมารู้สึก หิวก็ร้อง อิ่มก็นอน แล้วก็เล่น เมื่อโตขึ้นก็จะนอนน้อยลง ชอบตื่นขึ้นมากินและเล่นมากขึ้น จากนั้นก็จะคุ้นเคยกับความเป็นอยู่และสถานที่ใหม่
ลูกสุนัขเมื่ออายุได้ 4-5 เดือน ก็เริ่มถ่ายขนขนจะหยาบกว่าเดิม ฟันน้ำนมก็จะเปลี่ยนเป็นฟันแท้ มีเขี้ยวขึ้นทั้ง 4 เขี้ยว ทำให้คันปาก จึงชอบแทะสิ่งต่าง ๆ ในบ้าน ถ้าสุนัขกัดสิ่งของในบ้านควรทำโทษเพื่อให้เข็ดหลาบไม่ติดเป็นนิสัยควรหาของ เล่น เช่น ลูกบอลเล็ก ๆ กัดแทะแทน ลุกสุนัขอายุ 4-6 เดือนจะชอบเล่นแทะ และซุกวนมาก กินอาหารเก่งอยากรู้อยากเห็นพออายุ 7-8 เดือน ก็จะเริ่มเข้าสู่วันหนุ่มสาว ถ้าเป็นตัวเมียก็จะเริ่มเป็นสัด ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่าให้ผสมพันธุ์กันในวัยนี้ อาจทำให้มันเสีย ถ้าจะให้ผสมพันธุ์ควรผลสมเมื่อมีอายุประมาณ 12-18 เดือนจะเหมาะสมมากกว่า

หมาโตในวัยนี้เราสามารถให้อาหารสำเร็จรูปที่มีขายตามท้องตลาดได้แล้วซึ่งอาหารสำเร็จรูปที่นิยมมี 2 แบบ คือ
อาหารแห้ง ส่วนใหญ่จะมีความชื้นต่ำมากคือ ไม่เกิน 10 % มักอัดอยู่ในรูปเม็ดทรงต่าง ๆ กัน ทำมาจากวัตถุดิบ คือ เนื้อวัว ม้า ไก่ หรือปลาป่น ฯลฯ บรรจุกล่องกระดาษ
อาหารเปียก มีความชื้นสูงประมาณ 65-70 % ทำมาจากเนื้อวัว เนื้อม้า และเนื้อปลา ยังคงมีรูปร่างเป็นก้อนเนื้อให้เห็น บรรจุกระป๋อง จะน่ากินกว่าแบบแห้ง
ทั้งสอแบบสามารถเทใส่ภาชนะให้สุนัขกินได้ทันที แต่หมาจะกินหรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่งเพราะหมาบางตัวไม่ยอมรับอาหารเหล่านี้ จะเป็นเพราะกลิ่นหรือรสหรือความแข็งกระด้างก็เป็นได้ ดังนั้นจึงต้องมีการฝึกหัดให้กินก่อน โดยการหลอกล่อด้วยเล่ห์กล กล่าวคืออาจผสมอาหารสำเร็จรูปจำนวนเล็กน้อยลงในอาหารสำเร็จขึ้นไปทีละน้อย ทำบ่อย ๆ จนในที่สุดหมาตัวนั้น สามารถกินอาหารสำเร็จรูปล้วน ๆ ผู้เลี้ยงบางคนอาจว่าวิธีนี้ไม่ทันใจ ใช้วิธีเผด็จการ กินก็กิน ไม่กินก็อด จะอดได้ไม่นาน สุดท้ายก็ยอมกิน แต่ควรระวังจะเจอตัวที่ยอมอดเป็นอดตายเข้าจริง ๆ

หมาสูงอายุหมาสูงอายุจะมีร่างกายที่เริ่มเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา ดังนั้นการให้อาหารจึงควรที่จะให้ตามความเหมาะสมของวัยของสุนัข ซึ่งควรมีลักษณะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย เช่นเนื้อที่ไม่มีพังพืด อาหารที่มีไขมันน้อย อาหารที่มีโปรตีนสูง เพื่อที่จะได้ไปเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ ปริมาณที่ให้ก็ไม่ควรมากเกินไปเนื่องจาก หมาวัยนี้จะไม่กระฉับกระเฉง การวิ่งออกกำลังกายก็น้อยลงตามอายุ ฉะนั้นอาหารที่กินเข้าไปมาก ๆ นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้วยังก่อให้เกิดโทษ เช่น ท้องอืด แน่นเฟ้อ
อนึ่ง หมาที่แก่มาก ๆ อัตราการกินอาหารย่อมต่ำลงเป็นธรรมดา บางครั้งอาจกินวันละเพียงเล็กน้อย หรือกินบ้างไม่กินบ้างเจ้าของอาจให้อาหารเสริมเช่น อาหารสำเร็จรูป น้ำซุปและวิตามินต่าง ๆ เป็นการช่วยกระตุ้นความอยากอาหารและความแข็งแรงของร่างกายอีกทางหนึ่ง

*ที่มา:www.hamsteronline.com

เทคนิคการป้อนยาเม็ดสุนัขอย่างง่ายๆ

เทคนิคการป้อนยาเม็ดสุนัขอย่างง่ายๆ                         


ในการให้ยาเม็ด (Pill) ทางปากแก่สุนัข เมื่อสุนัขอ้าปากให้วางยาที่โคลนลิ้น สุนัขจะกลืนยาเม็ดลงคอไปได้ ถ้าวางยาเม็ดที่ปลายลิ้นหรือบริเวณอื่นในปาก สุนัขจะสามารถขย้อนยาเม็ดนั้นออกมาและคายทิ้งไป ทำให้เสียยาไป ในการป้อนยาเม็ดด้วยมือจะต้องจับยาเม็ดเข้าไปในปากต้องมีโอกาสสัมผัส กับน้ำลายสุนัขภายในปากซึ่งมีโรคติดต่อบางอย่างผ่านมาในน้ำลายสุนัขและติด ถึงคนได้ เช่น โรคพิษสุนัขบ้า ฉะนั้นการที่จะป้อนยาเม็ดด้วยมือนั้นต้องทราบประวัติสุนัขตัวนั้นอย่างแน่ นอนว่า ไม่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า ทางที่ดีควรป้อนยา
เม็ดโดยใช้เครื่องมือ เช่น Balling Gun หรือปากคีบเป็นต้น ซึ่งการใช้เครื่องมือดังกล่าวนี้มือคนป้อนสุนัขจะไม่สัมผัสน้ำลายสุนัขเลยวิธี การป้อนยาเม็ดด้วยมือ ในการป้อนยาเม็ดด้วยมือนั้น อาจใช้มือไหนจับหัวสุนัขก็ได้ ขึ้นอยู่กับความถนัด สมมุติว่าใช้มือขวาเป็นมือที่ใช้จับหัวสุนัข โดยใช้ฝ่ามือคว่ำและคร่อมสันจมูกบริเวณ Interdental Space ให้สันจมูกอยู่ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วที่เหลือทั้ง 4 ท่อน แขนของมือขวาวางทาบไปบนหน้าผากของสุนัขซึ่งท่อนแขนนี้จะช่วยยกให้หัวสุนัข แหงนขึ้นด้วย แต่ทั่ว ๆ ไป สุนัขไม่ยอมอ้าปาก ต้องใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วที่เหลือทั้ง 4 กดริมฝีปากให้แรงพอที่จะให้ริมฝีปากนั้น กดกับเหงือกและฟันทำให้สุนัขยอมอ้าปากได้บางรายแทน ที่จะใช้ฝ่ามือคร่อมขากรรไกรกลับมาจับที่ขากรรไกรล่างแทนก็ได้ เมื่อสุนัขอ้าปากแล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางของมือซ้ายคีบยาเม็ดค่อย ๆ ไปวางที่โคนลิ้นสุนัข รีบชักมือออกพร้อมกับหุบปากสุนัขทันที พยายามอย่าให้สุนัขอ้าปาก เพราะว่าจะขย้อนยาเม็ดดังกล่าวออกมา สังเกตดูว่าสุนัขกลืนยาหรือไม่โดยดูที่คอสุนัข ไม่ควรใช้มือไปขยำหรือนวดที่คอเพื่อช่วยให้กลืนยาเม็ด เพราะไม่ได้ประโยชน์อะไรและยังอาจทำให้สุนัขไม่สามารถกลืนยาได้บาง ครั้งการให้ยาเม็ดไม่จำเป็นต้องป้อน ในกรณีนี้ทำได้ง่ายมาก เพียงแต่นำยาเม็ดนั้นแทรกลงไปในก้อนเนื้อกล้วย หรือฮอทด็อกหรืออาหารที่สุนัขชอบกินและโปรดปรานนำมาสอดไส้ใส่ยาเข้าไปแล้ว วางให้สุนัขกินก็ได้ แต่สุนัขบางตัวมีความฉลาดและรู้ทัน จะไม่ยอมกินซึ่งจำเป็นต้องป้อน อาจจะด้วยมือ หรือใช้เครื่องมือป้อนยาเม็ดนั้นช่วยในการป้อนยาเม็ดนั้นถ้ามือไปสัมผัสกับ น้ำลายสุนัข หลังจากเสร็จแล้ว ควรล้างมือทันทีเพื่อรักษาความสะอาดการจับบังคับสุนัขเพื่อให้กินยาประเภท น้ำ ในการป้อนยาประเภทน้ำนั้นค่อนข้างจะง่ายกว่า การป้อนยาประเภทเม็ดเพราะว่าไม่จำเป็นต้องอ้าปากสุนัขแต่อย่างใด สามารถป้อนได้ในขณะที่สุนัขยังถูกผูกปากอยู่ได้ โดยอาศัยหลักทางกายภาพที่ว่า มุมฝีปากด้านข้างสุนัขนั้น มีความยืดหยุ่นได้ ใช้มือหนึ่งจับที่ปลายปากโดยรอบทั้งขากรรไกรล่างและขากรรไกรบนไว้อีกมือ หนึ่งแยกริมฝีปากล่างและดึงมุมปากออกมา ก็จะเกิดเป็นลักษณะกระพุ้งหรือถุง ของแก้มสามารถที่จะใช้ช้อน กระบอกฉีดยาหรือใช้เครื่องใส่ยาน้ำ สำหรับป้อนฉีดเข้าไปในกระพุ้งแก้ม ขณะเดียวกันก็พยายามยกหน้าสุนัขให้เชิดขึ้นเล็กน้อย ข้อ สำคัญ เครื่องมือที่ใช้ใส่ยาสำหรับป้อนนั้นไม่ควรทำด้วยวัสดุประเภทแก้วหรือสิ่ง ที่แตกง่าย เพราะว่าสุนัขอาจจะกัดหรือดิ้นและหล่นแตก อาจจะบาดปากสุนัขหรือมือผู้ป้อนได้ เครื่องมือเฉพาะสำหรับป้อนยาน้ำเรียกว่า”Drenchong Spoon” จึงจะปลอดภัยทั้งตัวท่านและสัตว์เลี้ยง
ที่มา www.hamsteronline.com

อันตรายจากกระดูกไก่

อันตรายจากกระดูกไก่


  กระดูกไก่ไม่ว่าจะมีเนื้อติดอยู่หรือไม่ล้วนแต่เป็นอันตราย ไม่ควรให้สุนัขกินทั้งนั้น ส่วนที่แหลมของกระดูกจะครูด และ บาดช่องทางเดิน
อาหารของสุนัขจากหลอดอาหาร ไปจนถึงลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้

           กระดูกที่คมอาจทำให้ช่องทางเดินอาหารทะลุ และอาจจะติดอยู่ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของ ช่องทางเดินอาหารทำให้อาหารที่กินเข้าไปไม่สามารถผ่านช่องทางนั้นได้ ถ้ามีเศษกระดูก ติดอยู่ สุนัขจะอาเจียนเอาสิ่งที่ได้กินหรือดื่มออกมา (ถ้าหากมันได้กินหรือดื่ม) และจะ มีอาการ ซึมเศร้า น้ำหนักลดเมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้ช่องทางเดินอาหาร ทะลุ หรือเนื้อเยื่อบริเวณนั้นตาย สุดท้ายอาจมีอาการช็อกและตายได้

           ถ้ากระดูกไม่ไปอุดบริเวณ ช่องทางเดินอาหาร ก็อาจทำให้ทางเดินอาหารถลอกหรือทะลุได้ ถ้าทางเดินอาหารของสุนัขถลอกมันจะอาเจียน (บางครั้งมีเลือดปน) และท้องร่วง (อาจมีเลือด ปนด้วยเช่นกัน) รวมถึงความอยากอาหารลดน้อยลงด้วยถ้าหากทางเดินอาหารทะลุ สุนัขของคุณ จะป่วยหนัก เซื่องซึม ไม่อยากลุก อึดอัด และคำรามเมื่อถูกจับบริเวณท้อง มันจะไม่กินข้าวและมีไข้ ภาวะเช่นนี้อาจทำให้สุนัขช็อกและตายได้ถ้าไม่ได้รับการรักษา

           หากคุณสงสัยว่าสุนัขของคุณกินกระดูกไก่เข้าไป ให้โทรหาสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด ถ้าสุนัขไม่อาเจียน สัตวแพทย์อาจให้มันกินอาหารที่มีใยอาหารสูง และเฝ้าดูอาการของมันตลอด 24 ชั่วโมง หรือไม่สัตวแพทย์ก็จะให้คุณมาที่คลินิกเพื่อเอ็กซเรย์ท้องสุนัข ดูว่ากระดูกอยู่บริเวณไหน และอาจจะเอ็กซเรย์ซ้ำอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปเพื่อให้แน่ใจว่ากระดูกหลุดออกไปแล้ว
ที่มา : โรงพยาบาลสัตว์ ทองหล่อ
ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต

การเลี้ยงเซนต์เบอร์นาร์ดให้สุขภาพดี



  การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุนัขพันธุ์ไหญ่ แต่ต้องมีขอบเขตไม่มากหรือน้อยเกินไป เหตุผลเนื่องจากกระดูกที่กำลังเติบโตของลูกสุนัขยังอ่อน ไม่สามารถรองรับการพัฒนาของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ทัน จึงอาจเกิดปัญหาของกระดูกอ่อนหรือบิดได้ ดังนั้นผู้เลี้ยงทุกคนควรระวังถึงน้ำหนักของลูกสุนัข เป็นหลัก ไม่ควรให้สุนัขอ้วนแต่เด็ก ควรให้ลูกสุนัขมีอายุ 1 ปีอย่างต่ำก่อนจึงเริ่มทำน้ำหนักได้ การออกกำลังที่หักโหมอาจทำให้ลูกสุนัขบาดเจ็บ เพราะฉะนั้นวิธีที่จะดูว่าลูกสุนัขออกกำลังกายเพียงพ อหรือไม่นั้นให้ดูจากการปล่อยลูกสุนัขเล่นโดยธรรมชาต ิ เพราะตัวลูกสุนัขเองจะรู้ว่าเมื่อเค้าเหนื่อยเค้าควร จะหยุดเล่น แต่ถ้าลูกสุนัขของคุณขี้เกียจก็ควรพาเค้าเดินหรือหาบ อลมาดึงดูดความสนใจเค้าให้สนุกกับการออกกำลังกายก็ได ้

         อาหารที่ใช้สำหรับเลี้ยงลูกสุนัขควรคำนึงถึงสารอาหาร โดยรวมไม่ใช่เน้นที่โปรตีนอย่างเดียว อาหารที่ใช้ควรมีส่วนประกอบของ Gluclosamine ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในเรื่องไขข้อกระดูก สารชนิดนี้จะไปช่วยสร้างน้ำหล่อลื่นตามข้อกระดูกโดยเ ฉพาะสุนัขที่เป็นโรคข้อต่อสโพกสารชนิดนี้จะลดการเสีย ดสีในไขข้อกระดูกได้ อาหารที่ดีไม่จำเป็นต้องราคาแพงเสมอไปแต่ก็ไม่ได้หมายถึงอาหารถูกจะดีทุกยี่ห้อ หรือถ้าจะลองใช้อาหารควรลองอย่างน้อย 6 เดือนถึงจะพิสูจน์ได้ว่าอาหารนั้นดีสำหรับสุนัขของท่าน ควรให้อาหารวันละ 4 ครั้ง ลูกสุนัขอายุ 4 เดือน แล้วลดเหลือ 2 มื้อตั้งแต่ 5 เดือนถึง 1 ปี ต่อจากนั้นขึ้นอยู่กับความสะดวกบางท่านอาจลดเหลือมื้อเดียวต่อวันก็ทำได้

         การฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม ควรเริ่มตั้งแต่สุนัขอายุ 3 เดือนขึ้นไป เพราะลูกสุนัขวัยนี้เริ่มที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้เ ร็วและสนใจสิ่งใหม่ๆรอบๆตัว
ทำวัคซีนให้ตรงเวลาที่กำหนดและถ่ายพยาธิทุกเดือน
ที่มา : St. Bernard Club , โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ
ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต

สารอาหารที่สุนัขต้องการ


  สารอาหารที่สุนัขต้องการ สุนัขเป็นสัตว์กินเนื้อเป็นอาหาร แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโตได้อย่างปกติ
มันจึงต้องการอาหารเสริมประเภทอื่นๆ ด้วย สารอาหารหลักที่สุนัขตัองการ ประกอบด้วย โปรตีน สำหรับการเจริญเติบโต และ
ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
คาร์โบไฮเดรต          :
เพื่อเป็นแหล่งพลังงาน
ไขมัน                          : เพื่อเป็นแหล่งพลังงาน และสุขภาพที่ดีของผิวหนังและขน
วิตามินและเกลือแร่ : เพื่อสร้างสภาพสมดุลทางเคมีให้กับร่างกาย
น้ำ                                : เพื่อกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นในร่างกาย
ที่มา : โรงพยาบาลสัตว์ ทองหล่อ
ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

โรคและการป้องกันรักษา

โรคพิษสุนัขบ้า....หน้าไหนก็อันตราย

เมื่อก่อนเรามักจะเข้าใจว่าโรคพิษสุนัขบ้ามักจะเกิดในหน้าร้อนเท่านั้น ซึ่งถือเป็นความเข้าใจผิดจริง ๆ แล้วโรคดังกล่าวหน้าไหนก็อันตรายได้ทั้งนั้นถ้าขาดความระมัดระวังหรือไม่ฉีดวัคซีนป้องกันแต่เนิ่น ๆ

                เชื่อหรือไม่ว่า...ในแต่ละปี โรคพิษสุนัขบ้าทำให้คนเสียชีวิตประมาณ 55,000 ราย น่าตกใจว่า 95 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 52,250 รายเกิดในเอเชียและแอฟริกา และประมาณ 30-60 เปอร์เซ็นต์เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ในประเทศไทยปี 2553 มีคนเสียชีวิตถึง 14 ราย และน่ากลัวกว่านั้นคือ 6 ราย เป็นคนในกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย ที่มีคนอยู่เกือบสิบล้านคน และสุนัขและแมวกว่าสองแสนตัว ซึ่งประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นสุนัข แมวที่ไม่มีเจ้าของ หรือมีคนให้ข้าวให้น้ำแต่ไม่ได้ดูแลจริงจัง ดูตัวเลขแล้วอาจจะคิดว่านิดเดียว แต่ถ้าคิดถึงโรคอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่สามารถป้องกันได้แล้ว ทำไมเราไม่หันมาป้องกันไม่ให้เสียชีวิตได้อย่างโรคพิษสุนัขบ้า

                อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนเสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้า ความเชื่อที่ผิด ๆ ที่มั่นใจว่าสุนัขที่เลี้ยงไว้เองอยู่แต่ในบ้านหรือลูกสุนัข จะไม่เป็นโรค ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเพียงเข็มเดียวจะคุ้มไปได้ตลอดชีวิต ความคิดนี้เกือบทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในเขตสายไหม

                เนื่องจากเจ้าของสุนัขฉีดป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้พ่อสุนัขเมื่ออายุ 3 เดือน เพียงครั้งเดียว และคิดว่าไม่จำเป็นต้องฉีดอีก สุนัขตัวอื่นที่เลี้ยงไว้อีก 2 ตัวก็ไม่ได้ฉีดวัคซีน เพราะเชื่อว่า “เลี้ยงในบ้านปลอดภัยไม่ต้องฉีดวัคซีน”  แม่สุนัขก็ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เมื่อมีลูกสุนัขเกิดใหม่ จำนวน 6 ตัว หลังออกลูกได้ 18 วัน แม่สุนัขแสดงอาการไม่กินอาหาร ดุร้าย กัดพ่อสุนัข และลูกตัวเอง 2 ตัว ลูกสุนัขที่เหลือตัวหนึ่งมีอาการชัก ไม่หายใจเจ้าของจึงทำการช่วยชีวิตโดยการเป่าปาก  (mouth-to-mouth) ทำให้ลูกสุนัขฟื้นขึ้นมาได้ แต่ลูกสุนัขกัดเข้าที่ปากเป็นแผลถลอก หลังจากกัด 3 วันลูกสุนัขก็ตายเอง โดยที่ไม่ได้ส่งไปรักษา และไม่ได้ส่งตรวจ ต่อมาลูกสุนัขที่เหลือทยอยตาย รวมทั้งพ่อสุนัข เจ้าของสุนัขเล่าให้ฟังว่า แม่สุนัขมีนิสัยชอบกัดกับแมว ก่อนหน้านี้กัดแมวตายไปหลายตัว และเคยเห็นสุนัขจรจัดกัดกันอยู่หน้าบ้านที่เขตสายไหม และบริเวณหน้าบ้านนี้เป็นซอยตัน เป็นที่ที่มีคนให้อาหารสุนัขจรจัดบริเวณนั้น โดยมีผู้ใจบุญในหมู่บ้านขับขี่รถจักรยานยนต์นำอาหารมาเลี้ยงสุนัขจรจัด ยังเป็นความโชคดีที่ผู้ที่รับลูกสุนัขไปรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์ เมื่อลูกสุนัขตาย สัตวแพทย์ที่รักษาจึงส่งตรวจ และพบว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้า ผู้ที่สัมผัสโรคทั้งหมด 11 คนได้ไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว หวังว่าจะทันเวลาไม่อย่างนั้นอาจมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าถึง 11 คน

                จะมั่นใจได้อย่างไรว่า สุนัขที่เลี้ยงไว้จะไม่มีโอกาสสัมผัสสุนัขอื่น ถ้าไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ฉีดเพียงเข็มเดียว ฉีดแล้วปล่อยสุนัขออกนอกบ้าน นำสุนัขอื่นที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเข้ามาในบ้าน หรือเห่าตามแนวซี่รั้วบ้านเมื่อมีสุนัขผ่านแล้วถูกกัด

                ...สิ่งสำคัญที่อยากฝากไว้อีกอย่างหนึ่งก็คือ โรคพิษสุนัขบ้าไม่ได้เกิดเฉพาะในสุนัขเท่านั้น แต่โรคนี้เกิดได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ทั้งสัตว์เลี้ยง และสัตว์ป่า และเกิดได้ตลอดทั้งปีไม่ใช่เฉพาะหน้าร้อน คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่าเกิดเฉพาะในหน้าร้อน…

                วันนี้นำลูกสุนัขที่เลี้ยงไว้ไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือนขึ้นไป ไม่ต้องรอให้ถึงหน้าร้อน เพราะ..หน้าไหนก็อันตราย  ถ้าไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า.


ที่มา และ ภาพประกอบ : เดลินิวส์ ออนไลน์
 

สังเกตสัญญาณ มะเร็ง มาเยือนเจ้าตูบ


            "มะเร็ง"... โรคร้ายที่ไม่เพียงแค่คร่าชีวิตมนุษย์เท่านั้น แต่ยามใดที่มะเร็งมาปักหลักในร่างกายของน้องหมา มันก็อาจพรากลูกรักสี่ขาของเราได้เหมือนกัน ซึ่งโดยส่วนมาก กว่าจะรู้ว่า มะเร็ง เข้ามาจับจองพื้นที่ร่างกายก็เกือบสายเกินเยียวยาแล้ว ดังนั้น จะเป็นการดีกว่า หากหมั่นสังเกตอาการต่าง ๆ ของน้องหมา เพื่อจะได้รู้ทันเจ้าเนื้อร้าย และสามารถรักษาให้หายได้ หากรู้ทันท่วงที

           สำหรับการตรวจจับสัญญาณที่บ่งชี้ว่า น้องหมาของเราอาจจะเป็นโรคมะเร็ง รศ.นสพ.ปานเทพ รัตนากร สัตวแพทย์ชื่อดัง แนะนำให้สังเกตอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 

           - มีก้อน หรือลักษณะบวม ปรากฏขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และขนาดขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
           - เกิดแผลที่ไม่ยอมหายเสียที แม้ให้การรักษาแล้ว หรืออาจเป็น ๆ หาย ๆ ซ้ำซากอยู่ที่เดิม
           - ขับถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องผูกบ่อย ท้องร่วงต่อเนื่อง ปวดท้องครางหงิง ๆ ฉี่ลำบาก มีเลือดปนฉี่ ฯลฯ
           - มีเลือดออกตามช่องเปิดต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดไหลจากช่องคลอด ฯลฯ
           - มีของเหลวไหลออกมาจากช่องต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หนองไหลจากจมูก น้ำเหลืองซึมจากรูหู ฯลฯ
           - เบื่ออาหาร แม้กระทั่งของที่เคยชอบก็ไม่ยอมกิน หรืออยากกิน แต่กลับกลืนได้ลำบาก เคี้ยวลำบาก งับอาหารแล้วร่วง ฯลฯ
           - น้ำหนักตัวลดลง ผอมโซ
           - หายใจติดขัด อ้าปากหายใจ
           - เจ็บข้อขาเรื้อรัง ลุกลำบาก ร้องครางเวลาลุก-นั่ง หรือจับบริเวณข้อ จะร้อง หรือขาแข็งเกร็ง
           - มีกลิ่นเหม็นผิดปกติรุนแรงจากร่างกาย เช่น ช่องปาก รูหู ลมหายใจ ฯลฯ
 
           ทั้งนี้ หากสังเกตเห็นความผิดปกติเพียงแค่บางอย่างดังกล่าวข้างต้น ควรรีบพาสุนัขไปพบสัตวแพย์ เพื่อรับการรักษาให้เร็วที่สุด ที่สำคัญควรจดจำอาการผิดปกติทุกอย่างและอธิบายให้สัตวแพทย์รับทราบอย่างละเอียด เพื่อเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคได้ง่าย และเป็นประโยชน์แก่ตัวสุนัขด้วย


ที่มา :  คมชัดลึก และ เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
 
คน-สัตว์ออกอาการ พิษสุนัขบ้า
 
    ภายหลังร่างกายได้รับเชื้อพิษสุนัขบ้า ซึ่งเป็นไวรัส เรบีส์ ที่เข้าไปฟักตัวในสมอง ส่งผลให้ทั้งคนและสัตว์ที่ได้รับเชื้อจะแสดงอาการที่บ่งบอกให้ทราบถึงการติดเชื้อร้ายดังกล่าว              สำหรับคนจะมีอาการที่แบ่งได้ 2 ประเภท คือ อาการคลุ้มคลั่ง ผู้ป่วยจะอาละวาด กระวนกระวาย ตระหนกต่อสิ่งเร้า เช่น แสง เสียง ลม รู้ตัวสลับไม่รู้ตัว สูญเสียความจำในบางครั้ง เมื่อผ่านไป 2-3 วัน ผู้ป่วยจะซึมเศร้า ไม่รู้สึกตัว หมดสติ ความดันโลหิตต่ำ และอาเจียนเป็นเลือด บ้างก็มีอาการกลัวลม กลัวน้ำ
             จากนั้นจะรู้สึกคัน ปวดแสบปวดร้อนบริเวณแผลที่ถูกกัด ขนลุก รูม่านตาไม่ตอบสนองต่อแสง และมีน้ำลายไหลมากถึงขั้นต้องบ้วนทิ้ง ส่วนอาการที่พบในคนอีกประเภท คือ อัมพาต กล้ามเนื้อแขน-ขาอ่อนแรง เพราะไวรัสเพิ่มจำนวนมากที่ไขสันหลัง โดยอาจเสียชีวิตภายใน 13 วัน  ขณะที่กลุ่มอาการแบบแรก อาจทำให้เสียชีวิตภายใน 2-3 วัน  แต่สำหรับสัตว์ที่มีเชื้อจะแสดงอาการ 2 แบบ คือ แบบดุร้าย ซึ่งพบบ่อยและสังเกตได้ชัดเจน และแบบซึม ที่อาการไม่ชัดเจน ในสัตว์โดยเฉพาะสุนัข แบ่งอาการได้ 3 ระยะ เริ่มจากระยะอาการนำ พฤติกรรมเปลี่ยน เช่น เคยซุกซน กลับซึม ไม่กินอาหาร จะมีอาการดังกล่าว 2-3 วัน จึงเข้าสู่ระยะตื่นเต้น คือ อาการทางประสาท กัดทุกอย่าง ตัวแข็ง และน้ำลายไหล ลิ้นห้อย พร้อมแสดงอาการกระวนกระวาย ระแวง ไม่อยู่นิ่ง ต่อมาแขน-ขาจะอ่อนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น มีอาการราว 1-7 วัน ก่อนเข้าสู่ระยะสุดท้ายที่ทำให้ตายได้ภายใน 24 ชั่วโมง หรือไม่เกิน 10 วัน โดยสัตว์ที่ได้รับเชื้อจะเป็นอัมพาตทั่วตัว
             พรุ่งนี้ ‘มุมสุขภาพ’ เตรียมวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นหลังถูกสัตว์ทีติดเชื้อกัดหรือข่วน เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อจนเสียชีวิต.
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แฟน ๆ มุมสุขภาพ สามารถสมัครสมาชิกเพื่อรับ สิทธิ์ร่วมกิจกรรมพิเศษกับ 'เดลินิวส์ออนไลน์' เพียงคลิกสมัครสมาชิก.


ที่มา : เดลินิวส์ ออนไลน์

พิษสุนัขบ้า ภัยร้ายใกล้ตัว...

     โรคพิษสุนัขบ้า หรือ โรคกลัวน้ำ เป็นหนึ่งในอีกหลายโรคที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส พบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ทั้งสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า โดย 90% ของสัตว์ที่ตรวจพบเป็นโรคพิษสุนัขบ้าคือ สุนัข รองลงมา คือ แมว โค กระบือ โดยเชื้อจะแพร่จากการที่ถูกสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด หรือเลีย เป็นผลให้เชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำลายสัตว์เข้าสู่บาดแผลของผู้ถูกกัดหรือเป็นอยู่แล้วและเชื้อผ่านเข้าสู่เส้นประสาทสมองทำให้มีอาการทางประสาท เกิดอัมพาตของระบบหายใจและเสียชีวิตในที่สุด จากรายงานการเกิดโรคพิษสุนัขบ้าใน คนของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า สถานการณ์ผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าในประเทศไทย ปี 2551 มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้า 8 ราย ปี 2552 เสียชีวิต 24 ราย และในปี 2553 (วันที่ 1 มกราคม-วันที่ 8 มีนาคม) มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วถึง 7 ราย เป็นชาย 5 ราย หญิง 2 ราย ในจำนวนนี้อยู่ใน กทม. 3 ราย ส่วนที่เหลืออยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี สระบุรี สมุทรปราการและตาก จังหวัดละ 1 ราย โดยสาเหตุหนึ่งที่ยังเป็นปัญหาสำคัญของการเกิดโรคพิษสุนัขบ้าในประเทศไทย คือ ความเข้าใจผิดและความประมาท เช่น เจ้าของสัตว์ เข้าใจว่า ลูกสุนัขหรือสุนัขที่เลี้ยงไว้ภายในบ้าน ไม่สัมผัส กับสัตว์อื่นไม่ต้องฉีดวัคซีน หรือกรณีเมื่อ ถูกลูกสุนัขหรือสุนัขในบ้านกัด ข่วน เลีย จะไม่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า หรือเข้าใจว่าโรคพิษสุนัขบ้า จะเกิดเฉพาะฤดูร้อนเท่านั้น เป็นต้น
   
                ที่ผ่านมากรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรฯ, กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณ สุข, สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ร่วมมือกันรณรงค์ควบคุมโรคพิษสุนัขบ้ามาอย่างต่อ เนื่อง โดยเฉพาะกรมปศุสัตว์ได้มุ่งเน้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนร่วมดำเนินโครงการรณรงค์ฉีดป้องกันโรคพิษ  สุนัขบ้าโดยมีกิจกรรม การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า การผ่าตัดทำหมัน การฉีดยาคุมกำเนิด การรับเลี้ยงสุนัขจรจัดและสุนัขที่เจ้าของไม่ต้องการรวมไปถึงการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้ประชาชนตระหนัก ถึงพิษภัยของโรคดังกล่าว ซึ่งจัดเป็นประจำในระหว่างเดือนมีนาคมหรือเดือนเมษายนของทุกปี                  ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กรมปศุสัตว์ ร่วมกับสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร จัดทำโครงการปลอดโรคพิษสุนัขบ้า  โดยมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแก่สัตว์เลี้ยงของประชาชน ในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขต ซึ่งดำเนินการในเดือนมีนาคม 2553 ตลอดทั้งเดือน    
       
                ในการควบคุมและป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดไปจากประเทศ วิธีที่ดีที่สุด คือ การให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าตามคำแนะนำของสัตวแพทย์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์เลี้ยงที่ใกล้ชิดคนอย่างสุนัขและแมว นอกจากนี้จะต้องปลูกฝังทัศนคติความรับผิดชอบให้ผู้เลี้ยงสุนัข-แมว ไม่ปล่อยสุนัข-แมวในที่สาธารณะ เช่น วัด ชุมชน ถนน สวนสาธารณะ เป็นต้น และอาจลุกลามกลายเป็นสุนัข-แมวจรจัดต่อไป ซึ่งเป็นภาระต่อสังคมและเป็นพาหะนำโรคพิษสุนัขบ้าได้ รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่เจ้าของสัตว์ในการเลี้ยงและการดูแลสุขภาพสัตว์ที่ถูกต้อง สามารถป้องกันโรคระบาดสัตว์ติดต่อมายังมนุษย์ได้   ถ้าดำเนินมาตรการเหล่านี้อย่างเข้มข้นต่อเนื่อง และจริงจัง โรคพิษสุนัขบ้าจะหมดไปภายในปี พ.ศ. 2563 ตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) กำหนดให้ทุกประเทศทั่วโลกปลอดจากโรคพิษสุนัขบ้าได้
   
                กรมปศุสัตว์ ขอเชิญประชาชนร่วมโครงการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และส่งเสริมการเลี้ยงสุนัขที่ถูก ต้องประจำปี 2553 ระหว่างนี้ไปจนถึง 30 เมษายน 2553 โดยนำสัตว์มารับบริการได้ที่ องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล หรือสำนักงานปศุสัตว์อำเภอในพื้นที่ของท่านได้ โดยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมปศุสัตว์ โทร. 0-2653-4444 ต่อ 4142 หรือ www.dld.go.th/dcontrol.

ที่มา และ ภาพประกอบ : เดลินิวส์ ออนไลน์

เข้าใจ ใส่ใจ ห่างไกลโรคพิษสุนัขบ้า

เข้าใจ ใส่ใจ ห่างไกลโรคพิษสุนัขบ้า
           "มาป้องกันตัวเราและสัตว์เลี้ยงของเราจากโรคพิษสุนัขบ้ากันเถอะ"
สาเหตุของโรคพิษสุนัขบ้า
        โรคพิษสุนัขบ้า เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อเรียกว่า Rabies virus (รูปที่ 1)ซึ่งเป็น single-stranded RNA virus, genus Lyssavirus, Family Rhabdoviridae โดยไวรัสชนิดนี้สามารถก่อให้เกิดโรคพิษสุนัขบ้านี้ได้กับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น สุนัข แมว กระรอก กระต่าย หนูแฮมสเตอร์ หนูแกสบี้ เฟอเรต รวมทั้งในคนด้วย
รูปที่ 1 แสดง Rabies virus
การติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้า
        เกิดจากเชื้อ Rabies virus ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในน้ำลายของสัตว์ตัวที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าเข้าทางบาดแผลผิวหนังหรือหรือแม้แต่เยื่อ
เมือกที่ถลอกผ่านทางการกัดหรือเลีย โดยเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำให้เกิดการเสียหายอย่างถาวรของระบบประสาท ทำให้สัตว์หรือ
คนที่ติดเชื้อเสียชีวิต 100% จัดเป็นโรคสัตว์สู่คนที่มีอันตรายร้ายแรงที่สุด
อาการของโรคพิษสุนัขบ้า
        อาการของโรคพิษสุนัขบ้า แบ่งออกป็น 2 ระยะใหญ่ๆคือ
        1. ระยะไม่แสดงอาการ เป็นระยะฟักตัวของไวรัสภายในร่างกาย ซึ่งกินระยะเวลาเป็นเดือนจนถึงหลายปี
        2. ระยะแสดงอาการก้าวร้าว ดุร้ายไม่มีสาเหตุ อารมณ์-พฤติกรรมเปลี่ยน ชัก ขากรรไกรแข็งเป็นอัมพาต ทำให้น้ำลายไหลตลอดเวลา
ไม่สามารถกินหรือกลืนอาหารและน้ำได้ ที่เราเรียกว่าโรคกลัวน้ำ (รูปที่2)

รูปที่ 2 สุนัขที่ป่วยเป็นโรคพิษสุนัขบ้า
 แนวทางการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์เลี้ยง
        โรคพิษสุนัขบ้าสามารถป้องกันได้โดย
        1. นำสัตวเลี้ยงไปทำวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ากับสัตวแพทย์ที่คลินิกหรือโรงพยาบาลรักษาสัตว์ที่มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากคุณภาพและปริมาณของวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าตลอดจนขั้นตอนการทำวัคซีนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่มีผลต่อการป้องกันโรคได้ภายหลังการทำวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว ซึ่งหากวัคซีนที่ใช้ไม่มีคุณภาพ การเก็บรักษาวัคซีนไม่เหมาะสม ใช้วัคซีนในปริมาณไม่เพียงพอ หรือแม้แต่วิธีการฉีดวัคซีนไม่ถูกต้อง ก็จะส่งผลให้การทำวัคซีนไม่ประสบผลสำเร็จคือไม่สามารถป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าได้
โดยถ้าเป็นลูกสัตว์จะเริ่มทำวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าที่อายุตั้งแต่ 3-4 เดือน และกระตุ้นเข็มที่ 2 ซ้ำในอีก 3-4 สัปดาห์ จากนั้นกระตุ้นซ้ำในทุกๆปี ซึ่งวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าจัดเป็นวัคซีนจำเป็นที่ต้องทำให้กับสัตว์เลี้ยง(ลูกด้วยนม) ทุกตัวในบ้านและต้องทำทุกปี
        2. หลีกเลี่ยงไม่ให้สัตว์เลี้ยงของเราไปสัมผัสหรือเล่นกับสัตว์อื่นที่ไม่ทราบประวัติการทำวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
        3. หากสัตว์เลี้ยงของเราไปสัมผัสหรือถูกสัตว์อื่นที่ไม่ทราบประวัติการทำวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ากัด ให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อล้างทำความสะอาดแผล กระตุ้นวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขซ้ำและอาจต้องกักตัวสัตว์เลี้ยงไว้ดูอาการอย่างน้อย 10 วันในแล้วแต่กรณี
        สำหรับในประเทศไทยการก่อโรคของเชื้อ Rabies virus และการติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้านี้สามารถเกิดได้ตลอดทั้งปี ดังนั้นการป้องกันโรคนี้สามารถทำได้ทันทีไม่ต้องรอทำวัคซีนเฉพาะในหน้าร้อนอย่างเดียว

ที่มา และ ภาพประกอบ : โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ

หน้าร้อนนี้ ...น้องหมา น้องแมวฉีดวัคซีนหรือยัง?
เวลาที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีน

            การเลือกเวลาฉีดวัคซีนให้เหมาะสมกับสุนัขและแมวเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก   โดยเฉพาะการเริ่มวัคซีนเข็มแรกในชีวิตของสุนัข
และแมวถ้าเริ่มฉีดวัคซีนเร็วไปก็สามารถส่งผลเสียได้เพราะอาจไปหักล้างกับภูมิคุ้มกันที่ได้มาจากแม่(maternal immune)  
            ถ้าเริ่มฉีดวัคซีนช้าไปก็ทำให้ลูกสัตว์ไม่มีภูมิคุ้มกัน  เสี่ยงต่อการติดโรคได้ง่าย   นอกจากนี้การฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องตามเวลาที่
คุณหมอกำหนด จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสามารถภูมิคุ้มกันได้สูงพอจนถึงระดับที่เรียกว่าภูมิสูงมากพอที่จะป้องกันตัวได้ (protective immune)

ก้อนแข็งคล้ายฝี (Sterile abscess)
            หลังการฉีดวัคซีน   น้องหมาแมวบางตัวอาจเกิดเป็นก้อนแข็งคล้ายฝี(ที่ไม่ใช่การติดเชื้อ)ตรงตำแหน่งที่ฉีดได้   ซึ่งเป็นปฏิกิริยา
ตอบสนองต่อวัคซีนที่ไม่เท่ากันในแต่ละตัว จึงควรนวดคลึงเบาๆหลังการฉีดเข้าใต้ผิวหนังทุกครั้ง   เพื่อเร่งให้ยากระจายออกโดยเร็ว  
ช่วยลดโอกาสการเกิด sterile abscessดังกล่าว

คุณภาพของวัคซีนที่ให้  

            ขบวนการเก็บรักษาวัคซีนที่อุณหภูมิเหมาะสมที่ (2-8 องศาเซลเซียส) จนถึงขั้นตอนการผสมวัคซีนก่อนฉีดเข้าร่างกายสุนัขและ
แมว  ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง   เพื่อให้ได้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ความสะอาดและความปลอดภัย

            เทคนิคการเตรียมยาตลอดจนมาตรฐานของอุปกรณ์ที่ใช้ไม่ว่าจะเป็น เข็ม  ควรเลือกใช้ชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้งหรือdisposable คือ
1เข็ม1ตัว   เพื่อความปลอดภัยและปิดโอกาสการติดเชื้อจากเข็มฉีดยา


ที่มา : โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ
ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต


น้ำตานั้น สำคัญไฉน

  น้ำตาในคนนั้นสามารถบ่งบอกอะไรได้หลายอย่างโดยเฉพาะอารมณ์และความรู้สึกเช่นโกรธ เสียใจ หรือแม้กระทั่งดีใจตื้นตันใจ แต่ในสุนัขนั้นน้ำตาสามารถบ่งบอกโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตาสุนัขได้ ตั้งแต่สีเช่น สีน้ำตาล สีเขียว สีขาวขุ่น หรือสีใส สิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงลักษณะการติดเชื้อ โรคหรือเป็นสิ่งที่จะประกอบการช่วยวินิจฉัยโรคตาได้ นอกจากนั้นปริมาณน้ำตาของสุนัขยังเป็นข้อมูลในการวินิจฉัยโรคต่างๆ ได้

           สำหรับเครื่องมือในการวัดปริมาณน้ำตาที่ปัจจุบันถือเป็นมาตรฐานยอมรับกันทั่วไปคือ
Schirmer tear test (STT) เป็นกระดาษแผ่นบางชิ้นเล็กสอดเข้าไปบริเวณเปลือกตาล่างทิ้งไว้ 1 นาทีแล้วดูว่าน้ำตาซึมเข้ามาที่กระดาษกี่มิลลิเมตร STT > 15 มิลลิเมตร เท่ากับปกติ STT 10-15 มิลลิเมตร เท่ากับว่ามีแนวโน้มเป็นโรคตาแห้ง
STT < 10 มิลลิเมตร เท่ากับเป็นโรคตาแห้ง
สำหรับกรณีมากกว่า 20-25 มิลลิเมตรจะถือว่ามากไปจนทำให้เกิดโรค

       แต่ก็ขึ้นอยู่กับอาการของสุนัขด้วยเช่นถ้าสุนัขมีน้ำตาไหลมากร่วมกับหรี่ตาหรือตาแดงมากนั่นอาจเป็นปัญหากระจกตาเป็นแผล กระจกตาอักเสบได้ แต่ถ้าสุนัขมีน้ำตาไหลมากด้วยไม่มีปัญหาตาแดงไม่มีอาการหรี่ตาน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นน้ำตาใสๆ ร่วมกับมีคราบติดบริเวณร่องจมูกเราสามารถแบ่งปัญหานี้ออกเป็น 2 สาเหตุ 1. มีการผลิตน้ำตามากเกินไป เช่นมีการระคายเคืองเนื่องจากขนตาขึ้นผิดที่ก็เป็นไปได้ 2. มีการผลิตน้ำตาเท่าเดิมแต่การระบายออกไม่ดีเช่นมีการอุดตันของท่อน้ำตา ท่อน้ำตาตีบ ท่อน้ำตาอักเสบ หรือเป็นโรคมาแต่กำเนิด

       กรณีที่มีปัญหาน้ำตาน้อยเกินกว่าปกติวัด STT ได้ 10 มิลลิเมตร ต่อ 1 นาที วินิจฉัยว่าเป็นโรคตาแห้งซึ่งอาการส่วนใหญ่สุนัขจะมีขี้ตาเยอะมาก ขี้ตาแห้งกรัง เช็ดขี้ตาให้สุนัขแล้วสักพักก็เป็นอีก หรือสุนัขมีปัญหาตาแดงมานานมาก กระจกตาขาวขุ่น มีเม็ดสีดำ น้ำตาลขึ้นที่กระจกตา อาการที่กล่าวมาข้างต้นเป็นอาการของสุนัขที่เป็นโรคตาแห้ง
สาเหตุส่วนใหญ่ได้แก่ระบบภูมิคุ้มกัน (immune mediated) สายพันธุ์ (breed predisposing) พันธุกรรม (genetic) การติดเชื้อ (infection) อายุ (aging)
ดังที่กล่าวมาข้างต้น STT สามารถวัดปริมาณน้ำตาในสุนัข และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ได้บอกว่าดวงตาของสุนัขนั้นมีปัญหาหรือไม่ ถ้ารู้สึกว่าสุนัขของท่านเริ่มมีปัญหาที่ดวงตาอย่าลืมนึกถึงการวัดน้ำตาด้วย STT นะคะ
 
ที่มา และ ภาพประกอบ : โรงพยาบาลสัตว์ ทองหล่อ